หลายๆวัดในพระพุทธศาสนาที่มีการบริหารจัดการที่ดี วัดจึงเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะพระภิกษุส่วนใหญ่ มีการศึกษาทางโลก มาก่อน ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมนั้นเกื้อหนุนกัน และนักบวช ที่มีปัญญาทางโลกมาก่อนเมื่อมาศึกษาทางธรรม มักจะช่วยงานพระศาสนาได้ดี กว่านักบวชที่ไม่มีการศึกษาทางโลกมาก่อน
หากพระภิกษุสงฆ์ ท่านจะศึกษาปัญญาทางโลก เพื่อให้ทันโลกทันเหตุการณ์ เพื่อไปประกอบ องค์ความรู้ ในการพัฒนา การเผยแพร่ และ บริหารสถานศึกษา ตลอดจนการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ที่ยิ่งใหญ่ คงจะไม่ผิดอะไร
การศึกษาเล่าเรียนในสมัยก่อน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้การบ้านการเรือนจากจากคุณแม่คุณยาย ถ้าเป็นผู้ชายต้องศึกษาในวัด เพราะวัดเป็นที่รวมสรรพวิชา การเรียนการสอนในสมัยก่อนเป็นการฝึก การอ่านออก เขียนได้ จับประเด็นได้ เรียนรู้พื้นฐานคณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร การคัดลายมือ ศิลปะเฉพาะด้านเช่นช่างฝีมือ ช่างแกะสลัก
ปัจจุบันบทบาททางการศึกษา เนื้อหาการเรียนมีความซับซ้อนมากขึ้น และวิวัฒนาการทางตะวันตกเข้ามา ก็มีความจำเป็นทางการศึกษาที่จะต้องมีสถาบันการเรียนเพิ่มยิ่งขึ้น ก็เลยทำให้คนที่จะเรียนมีโอกาส มีตัวเลือกมากขึ้น เลยทำให้ส่วนใหญ่คนที่จะมาบวชเรียน คือคนที่มีทุนน้อยแต่ก็มีบางกลุ่มก็มีความศรัทธาที่ต้องการจะบวชเรียน ซึ่งจริงๆแล้ว ถือว่าได้กำไรมากกว่าการเรียนทางโลก เพราะการบวชเรียนสิ่งที่จะได้คือความรู้ควบคู่ไปกับศีลธรรมเสมอ
บทบาทและหน้าที่ของครูในทุกยุคสมัย คือการแนะนำ แนะคือ สอน ให้ความรู้ (และต้องมีทักษะในการถ่ายทอดและหาความรู้เพิ่มเติมให้ตนเองอยู่เสมอ) นำ คือทำตัวเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดี
ในปัจจุบันก็มีแนวคิดในการสอนศีลธรรมทำควบคู่กันไป คือ มีการนิมนต์พระไปสอนหนังสือวิชาศีลธรรมตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีครูพระประมาณ 20,000 รูป แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในสังคม แต่ความแตกต่างที่เด็กจะได้รับมีค่ามาก ในเรื่องการสอนศีลธรรมคือ การที่ครูพระได้ทำการสอน เด็กจะรับความรู้คู่ศีลธรรมไปพร้อมๆ กัน และได้เห็นแบบอย่างและตัวอย่างที่ดีของพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบที่แท้จริง
อาตมาเคยเป็นทหารมาก่อน ทำไมทหารต้องเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ก็เพราะต้องเอามาแก้เครื่องจักรเครื่องกลในกองทัพ ในสนามรบ ไม่มีช่างเครื่องกล ติดตามไปด้วย ทำไมต้องเรียนวิศวกรรมโยธา ก็เพราะ จะสร้างสะพานในสนามรบ ต้องพึ่งตนเอง
อาตมา กิตฺติสมฺปนฺโณภิกฺขุ ขอแก้ข้อกล่าวหาของโยมผู้ท่านหญิงท่านหนึ่งเรื่องในหัวข้อ พระรับปริญญา คือ วิกฤตพระพุทธศาสนา
ขอบคุณข้อมูลจากกลุ่มไลน์, dmc.tv
![]() |
การศึกษาเล่าเรียนในสมัยก่อน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้การบ้านการเรือนจากจากคุณแม่คุณยาย ถ้าเป็นผู้ชายต้องศึกษาในวัด เพราะวัดเป็นที่รวมสรรพวิชา การเรียนการสอนในสมัยก่อนเป็นการฝึก การอ่านออก เขียนได้ จับประเด็นได้ เรียนรู้พื้นฐานคณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร การคัดลายมือ ศิลปะเฉพาะด้านเช่นช่างฝีมือ ช่างแกะสลัก
ปัจจุบันบทบาททางการศึกษา เนื้อหาการเรียนมีความซับซ้อนมากขึ้น และวิวัฒนาการทางตะวันตกเข้ามา ก็มีความจำเป็นทางการศึกษาที่จะต้องมีสถาบันการเรียนเพิ่มยิ่งขึ้น ก็เลยทำให้คนที่จะเรียนมีโอกาส มีตัวเลือกมากขึ้น เลยทำให้ส่วนใหญ่คนที่จะมาบวชเรียน คือคนที่มีทุนน้อยแต่ก็มีบางกลุ่มก็มีความศรัทธาที่ต้องการจะบวชเรียน ซึ่งจริงๆแล้ว ถือว่าได้กำไรมากกว่าการเรียนทางโลก เพราะการบวชเรียนสิ่งที่จะได้คือความรู้ควบคู่ไปกับศีลธรรมเสมอ
บทบาทและหน้าที่ของครูในทุกยุคสมัย คือการแนะนำ แนะคือ สอน ให้ความรู้ (และต้องมีทักษะในการถ่ายทอดและหาความรู้เพิ่มเติมให้ตนเองอยู่เสมอ) นำ คือทำตัวเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดี
ในปัจจุบันก็มีแนวคิดในการสอนศีลธรรมทำควบคู่กันไป คือ มีการนิมนต์พระไปสอนหนังสือวิชาศีลธรรมตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีครูพระประมาณ 20,000 รูป แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในสังคม แต่ความแตกต่างที่เด็กจะได้รับมีค่ามาก ในเรื่องการสอนศีลธรรมคือ การที่ครูพระได้ทำการสอน เด็กจะรับความรู้คู่ศีลธรรมไปพร้อมๆ กัน และได้เห็นแบบอย่างและตัวอย่างที่ดีของพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบที่แท้จริง
อาตมาเคยเป็นทหารมาก่อน ทำไมทหารต้องเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ก็เพราะต้องเอามาแก้เครื่องจักรเครื่องกลในกองทัพ ในสนามรบ ไม่มีช่างเครื่องกล ติดตามไปด้วย ทำไมต้องเรียนวิศวกรรมโยธา ก็เพราะ จะสร้างสะพานในสนามรบ ต้องพึ่งตนเอง
อาตมา กิตฺติสมฺปนฺโณภิกฺขุ ขอแก้ข้อกล่าวหาของโยมผู้ท่านหญิงท่านหนึ่งเรื่องในหัวข้อ พระรับปริญญา คือ วิกฤตพระพุทธศาสนา
ขอบคุณข้อมูลจากกลุ่มไลน์, dmc.tv
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น