ถวายเงินแก่พระสงฆ์ นั้นบาปหรือไม่??!!!

ในช่วง สี่ ห้าปีที่ผ่านมา ศาสนาพุทธโดยเฉพาะตัวพระสงฆ์โดนโจมตีอย่างหนัก จากเดิม พระสงฆ์เป็นบุคคลที่เคยได้รับการยอมรับจากสังคม เป็นที่พึ่งสังคม เป็นศูนย์กลางของสังคม ได้รับความเคารพจากผู้คนทุกหมู่เหล่า 

แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นถูกคนบางกลุ่มออกมาโจมตี กล่าวหา ด่า ว่าร้ายสารพัด บางครั้งหนัก ถึงฟ้องร้อง ขึ้นโรงขึ้นศาลเลยทีเดียว ด้วยข้อหาหนักๆ ถึงขั้นปาราชิก ก็มี

กลุ่มคนที่ออกมากล่าวหาพระ ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ โดยเพ่งไปที่จุดอ่อนของพระสงฆ์โดยเฉพาะเรื่องการรับเงิน ใช้จ่ายเงิน ว่าพระสงฆ์ไม่สามารถจับต้องเงินได้มันเป็นอาบัติ ฟังไปฟังมาเหมือนกำลังบอกว่าการจับเงินนั้นเป็นอาบัติปาราชิกเลยทีเดียว ยิ่งนับวันคนกลุ่มนี้ก็ยิ่งได้ใจและหาเรื่องใส่พระสงฆ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ


ในฐานะชาวพุทธ จึงอยากจะให้กำลังใจชาวพุทธด้วยกันเอง อยากให้ชาวพุทธเราเกิดความมั่นใจในพระสงฆ์เราที่ปฏิบัติแบบนี้แหละมากว่า 1000 ปีแล้วในประเทศเรา แต่พระศาสนาไม่เคยเสื่อมไปจากคนไทยเลย แล้วทำไมเรื่องเหล่านี้จึงถูกยกขึ้นมาโจมตีพระสงฆ์เมื่อเงินก็เงินของเรา พระสงฆ์ก็พระสงฆ์ของเรา การถวายเงินก็เป็นความพอใจของเรา หรือว่ามีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏกาลเหล่านี้หรือ??

บทความทางวิชาการชิ้นนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อตอบโต้ใครนะครับ (เสียเวลาและผมก็ไม่ได้ให้ค่ากับคนเหล่านั้นด้วย) แต่เขียนขึ้นเพื่อ ..

1. ชักชวนชาวพุทธทั้งหลายให้เพิ่มศรัทธาในพระพระพุทธศาสนามากขึ้น 

2. เพื่อให้เข้าใจว่าการถวายเงินแก่พระสงฆ์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร (จะอธิบายต่อไป) 


3. ร่วมทำบุญ ปฏิบัติธรรมให้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเทศกาลสำคัญๆทางพระพุทธศาสนา


4.อย่าไปฟังพวกมือถือสาก ปากถือศีลกล่าวร้ายพระในศาสนาเลยนะครับ




ถวายเงินพระไม่ผิด ส่วนที่ผิดคือด่าพระ!!!

พระสงฆ์ก็คือลูกหลานชาวบ้านที่มาบวชในพระพุทธศาสนา แน่นอนว่าเป้าหมายของการบวชไม่ใช่เพื่อขัดเกลากิเลสเพียงอย่างเดียว เพราะก่อนบวชมีน้อยคนนักที่จะรู้ความลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนมากแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ มาบวชก็เพื่อศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อโอกาสทางการศึกษาต่างๆ เป็นหลัก

เมื่อบวชเป็นพระแล้วหน้าที่ของพระมีทั้งศึกษาพระธรรมวินัย ให้แจ่มชัดและนำมาปฏิบัติ จากนั้นก็สั่งสอนประชาชนให้นำคำสอนขององค์พระศาสดาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อความผาสุกของแต่ละคน และสังคมโดยรวม ยิ่งถ้าพระมีความรู้มากทั้งทางโลกและทางธรรม การประยุกต์คำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อสั่งสอนชาวบ้านก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ในประเด็นนี้พระจึงควรมีความรู้รอบด้าน (บทความต่อไปจะเขียนเรื่องการศึกษาของพระ)

นอกจากหน้าที่นี้แล้ว พระสงฆ์ซึ่งอาศัยอยู่วัดนั้นๆ ก็ย่อมมีหน้าที่ทางสังคมคือการพัฒนาวัดวาอารามที่ตนอาศัยอยู่ให้เจริญรุ่งเรือง (ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะโดนชาวบ้านติฉินนินทา หาว่าเป็นพระขี้เกียจ) เช่นการสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น ดังนั้นการรับเงินของพระสงฆ์ จึงไม่ผิด ถ้าเป็นไปเพื่อ..



1. การก่อสร้าง
ถามว่าการก่อสร้างเหล่านี้สำคัญหรือไม่ ผมมองว่าสำคัญที่สุด ถ้าทุกท่านไม่มีอคติจะเห็นว่าแต่ละปีนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยจำนวนหลายล้านคน หรือหลายสิบล้านคน นำเงินเข้าประเทศมากมาย สร้างความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติไม่น้อย 

ซึ่งถ้ามองดูให้ดีแล้วสิ่งดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นมาเที่ยวประเทศไทย เหตุผลหลักๆ อีกอย่างก็คือการมาเที่ยวชมถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา เช่นโบสถ์ วิหาร เจดีย์ โดยเฉพาะเจดีย์วัดอรุณ โบสถ์พระนอนวัดโพธิ์ ท่าเตียน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดอื่นๆ อีกมากมายทั่วประเทศ ที่พระสงฆ์และญาติโยม บรรพบุรุษของเราได้ร่วมกันสร้างไว้ เพื่อแสดงถึงศรัทธาที่มีในพระศาสนา ซึ่งก็เหมือนกับศาสนิกของศาสนาอื่นๆ

และสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ล้วนเกิดจากศรัทธาของญาติโยม ที่มอบถวายเงินให้หลวงพี่ หลวงพ่อ หลวงอามาสร้าง ดังนั้น การรับเงินของพระในประเทศไทยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว (ไม่เห็นพระพุทธศาสนาสูญหายไปจากประเทศนี้) แต่การรับเงินของท่านไม่ได้รับเพื่อยึดติด เป็นการรับเงิน เพื่อสร้างและเพื่อให้

สร้าง คือการสร้างถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา ให้สมกับเป็นเมืองพุทธ เป็นที่ประกอบศาสนกิจ แม้แต่ในสมัยพุทธกาล การก่อสร้างก็มีมากมาย แต่ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใจบุญในยุคนั้น

ให้  คือการให้ทุนการศึกษา  ให้ทุนสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน เป็นต้น ถ้าท่านยังนึกไม่ออก ก็ลองนึกถึงสิ่งที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านได้ทำไว้เถิด จะเห็นว่าเงินที่ท่านรับมานั้น เกิดประโยชน์แก่มวลมหาประชาชน มากน้อยขนาดไหน กี่โรงเรียนที่ท่านสร้าง กี่ตึก กี่โรงบาลที่อาศัยเงินจากท่านสร้างขึ้นมา

บางคนอาจจะตะแบงว่า การก่อสร้างให้เป็นหน้าที่ของฆราวาส ญาติโยม ก็ได้ โถๆๆ ท่านผู้น่าสงสาร ความคิดแคบมากเลย มีคนมีน้ำใจขนาดนั้นกี่คนครับ เห็นแต่ละราย มีแต่จะเอา กล้าโกงแม้กระทั่วพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่กลัวแม้กระทั่งบาปบุญ เห็นอยู่แต่ละวันเต็มไปหมด จนพระท่านจะหาที่อยู่ไม่ได้แล้ว เหมือนทำกันเป็นกระบวนการทีเดียว

ด้วยเหตุผลบางส่วนนี้ ผมจึงขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่าน ช่วยถวายเงินแก่พระสงฆ์เราได้ตามกำลังศรัทธา เพื่อให้ท่านทำนุบำรุง วัดวาอาราม ให้รุ่งเรือง เป็นสถานที่อบรมคุณธรรม จริยธรรมแก่ลูกหลานของเราต่อไป แต่ถ้าใครกลัวพระเอาเปรียบว่าได้อยู่ฟรี กินฟรี ขอให้เข้าใจด้วยว่า สมบัติทุกชิ้นในวัดเป็นของส่วนรวม ไม่ใช่ของพระหรอก ถ้าท่านอยากใช้ก็ให้ไปบวชนะครับ (ถ้าภรรยาอยากใช้ ก็โปรดให้สามีตัวเองไปบวชนะครับ) ได้ใช้เต็มที่เป็นของพระศาสนา)


pariyat.com
2. การศึกษา
 การศึกษาของพระ เณร ไม่ว่าจะศึกษาบาลี ธรรมะ หรือปริญัติธรรม ล้วนแต่ต้องใช้เงินในการศึกษาทั้งสิ้น เช่นค่าหนังสือตำราเรียน ค่ารถในการเดินทาง ค่าอาหารการฉัน และค่าอื่นๆ อีกมากมาย พระอาจารย์บางท่าน รับภาระดูแลด้านการศึกษา ของพระ เณร ในวัด เพื่อให้พระ เณร ในวัดมีการศึกษา จะได้เป็นบุคลากรที่มีคุณค่าต่อพระศาสนาและต่อประเทศชาติ 

ถ้าท่านครองเพศบรรพชิตตลอดไปก็จะได้เป็นกำลังหลักให้พระศาสนาในการเผยแผ่พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ขจรขจายต่อไป แต่ถ้าท่านหมดบุญบวช สึกหาลาเพศไป ก็จะเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าต่อสังคม ไม่เป็นภาระสังคม เพราะท่านก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นบุคลากรของชาติ เช่นกับคนอื่นๆ


การศึกษาเหล่านี้ต้องใช้เงินมากมาย คนที่ไม่เคยสัมผัสจะไม่เข้าใจ ได้แต่นั่งเทียนเอา ด่าว่าพระไปวันๆ ไม่อายปาก ไม่อายฟ้าดิน ไม่กลัวบาปกรรมจะตามทันเลย น่าสงสารแท้ บางคนเกิดมาจนแก่ไม่มีใครรู้จัก พอใกล้ตายแล้วตัดสินใจออกมาวิจารณ์พระ ด่าพระหน่อย เอ้ย!!! มีคนรู้จักทั้งประเทศ อย่างนี้ก็ได้ด้วย แต่ผมสมเพศนะ พ่อแม่ของท่านคงภูมิใจว่า ลูกกูเก่งวะ ด่าพระสงฆ์องค์เจ้าได้ด้วย

ด้วยวัตถุประสงค์ของการจับเงินตามข้อที่ 2 นี้ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าการรับเงินนั้นเพื่อคนอื่นๆ เพื่อพระศาสนา ไม่ใช่เพื่อการยึดติด แล้วจะผิดได้อย่างไร

3. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่พระก็ต้องจ่าย

  ถ้ามองแบบจินตนาการเอาเอง คนทั่วไปก็จะมองว่า พระไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ตามความจริงแล้ว ตรงข้ามเลยทีเดียว นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีรายการจ่ายส่วนตัวอีกเยอะแยะนะ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ มีคนคิดว่าวัดไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ อยู่หรือไม่ โยมมาวัดเปิดพัดลม เสียบชาร์ตมือถือ ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายของพระในวัดทั้งสิ้นนะ การทำบุญบวช บุญงานศพ งานอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ที่วัดต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น


youtube.com
ค่าเดินทางไปหาหมอ ในกรณีที่พระอาพาธ หรือว่าพวกคนที่วิจารณ์พระว่าไม่ต้องรับเงิน จะอาสาพาพระทั่วประเทศไปโรงบาล เมื่อท่านอาพาธ (ถ้าทำไม่ได้ก็พอเถอะ อย่ามโนเลย จะบาปเอา) บางรูปเป็นความดัน บางรูปเป็นเบาหวาน โรคอ้วน บางรูปเป็นมะเร็ง บางรูปเป็นทั้งหมดนั่นแหละ เพราะขาดความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ (มีพวกโยมใจแคบหาว่าการเรียนทางโลกผิด) ฉันอาหารที่เขานำมาถวาย บางครั้งการปรุงก็ไม่ถูกสุขลักษณะ โรคภัยไข้เจ็บก็จะมาเยือน

 จากนั้นก็เป็นค่ายา แม้ว่าการรักษาในโรงบาลรัฐ พระจะได้รับการรักษาฟรี แต่ก็เหมือนกับเราท่านทั้งหลายนั่นแหละ พระก็ไม่อยากมรณภาพ เช่นกับเราไม่อยากตาย เพราะท่านก็มีพ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง เหมือนเรานั่นแหละ บวชแล้วไม่ใช่ว่าจะตรัสรู้ได้เลยเมื่อไหร่เล่า เมื่อไม่อยากตายก็ต้องหายาที่มีคุณภาพทาน ก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น

 ด้วยเหตุนี้ผมจึงมั่นใจว่าการถวายเงินแก่พระสงฆ์จะได้บุญ ไม่เป็นบาปแน่นอน ที่สำคัญยิ่งได้ถวายพระอาพาธ เพื่อให้ท่านได้ดูแลตัวเองแล้ว ยิ่งจะเป็นกุศลมากด้วย 

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ยุคสมัยเปลี่ยนไป พระสงฆ์ก็ต้องปรับตัวตามยุคสมัยเช่นกัน ในอดีตกาลยุคสมัยขององค์พระศาสดา หลายอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน ไม่ได้มีในยุคนั้น ดังนั้นการปรับตัวเข้ากับประเทศที่ตัวเองอาศัยอยู่ เข้ากับโลกที่เปลี่ยนอย่างรวดรวดเร็ว จึงสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าพระสงฆ์ไม่ปรับตัวเลยอย่าว่าแต่จับต้องเงินทองเลย แม้แต่โอกาสในการเผยแผ่คำสอนขององค์พระศาสดาก็จะไม่มี แต่การปรับตัวก็ต้องอยู่ในหลักวินัยขององค์พระศาสดา

ผมมั่นใจว่าแม้พระสงฆ์ไม่รับเงินรับทอง ท่านก็อย่าหวังว่าคนกลุ่มนี้จะหยุดเพียงแค่นี้ พวกเขาจะหาข้ออื่นๆ ประเด็นอื่นๆ มาเล่นงานพระท่านต่อไป เพราะพวกเขาคือคนพาล



ในสมัยพุทธกาล นางวิสาขามหาอุบาสิกาเดินทางไปวัดวันละหลายครั้ง แต่ละครั้งนางจะถืออาหาร ของเคี้ยว ของฉันไปถวายพระด้วย ตามกาล (ปัจจุบันเราไม่เห็นคนประเภทนี้ในประเทศเรา) นางจะเข้าไปถามทุกข์ สุข ของพระสงฆ์ เพื่อจะได้จัดของถวายตามสมควร ดังนั้นชื่อเสียงของนาง จึงถูกจดจำจนถึงปัจจุบัน

นางวิสาขา มีอายุยืน แต่แม้มีอายุยืนเป็นร้อยปี พระนางก็ยังมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง เป็น “หญิงชรา หน้าใส ใจบุญ อุดหนุนพระศาสนา”

การทำบุญไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทองนั้น ย่อมได้บุญอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย  มีหลักที่ว่า ..
    1.ทรัพย์ที่ได้มานั้นต้องบริสุทธิ์  ไม่ได้ลักขโมยเขามา 
    2.ก่อนให้  ขณะให้  และหลังให้ก็มีจิตยินดี มีปีติ ความเอิบอิ่มใจ 

    3.ผู้รับเป็นผู้อยู่ในคุณธรรม  ถ้าผู้รับไม่มีคุณธรรมก็มุ่งเอาที่ถวายเข้าหมู่สงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุข

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Google , ข้อมูลจาก ผศ.ดร.นเรศ สุรสิทธิ์ และ madchima

ความคิดเห็น