กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วนะคะ กับบทความเรื่องราวดีๆมีสาระข้อคิด อ่านเพลินๆ ได้ความรู้ไม่มากก็น้อย.. ในสังคมปัจจุบันบางครั้งเราอยากหนีไปให้ไกล แต่จะหนีอย่างไร คงเป็นเรื่องยากที่จะหนีพ้นไปได้
ดังเรื่องราวของสองสหาย ที่รักและเติบโตมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นพระราชโอรสของพระราชา นามว่า พรหมทัตราชกุมาร และอีกคนเป็นบุตรของปุโรหิตา คือ กัสสปกุมาร..
ต่อมาเมื่อพระราชาสวรรคตแล้ว พรหมทัตราชกุมาร ได้ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่
ฝ่ายท่านกัสสปกุมารเป็นผู้มีใจสงบ ปรารถนาที่จะได้พบสุขอันเกิดจากความวิเวกสันโดษ เมื่อคิดทบทวนดีแล้วจึงเข้าไปกราบลาบิดามารดา และทูลลาพระราชา ออกบวชเป็นพระฤาษี
ตั้งใจเจริญสมถกรรมฐาน อยู่ในสำนักของอาจารย์ที่อยู่ในป่าใหญ่ ไม่นานท่านก็ได้บรรลุฌานสมาบัติ สามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ต่อมาท่านได้กราบลาพระฤๅษีอาจารย์ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าลึกเพียงลำพัง
ด้วยว่ากัสสปฤๅษีท่านมีตบะแรงกล้า อีกทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของเทวดาทั้งหลาย
ฝ่ายท้าวสักกเทวราชเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นว่า พระฤาษีนี้เป็นเพียงมนุษย์แต่เหล่าเทวดากลับให้ความเคารพเลื่อมใสมากกว่าตน ก็พลันมีจิตคิดริษยา ปรารถนาที่จะทำลายตบะของท่านกัสสปฤๅษี
จึงคิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วเข้าไปหาพระเจ้าพรหมทัต สั่งให้เอาตัวพระฤาษีมาเพื่อทำพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก หากทำสำเร็จพระราชาจะได้เป็นจอมกษัตริย์ผู้มีอำนาจใหญ่ มีอายุยืน ไม่แก่ ไม่ตาย!!
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตด้วยความอยากเป็นใหญ่ในปฐพี จึงรับปาก และมอบหมายหน้าที่นี้ให้อำมาตย์เสยยะ ไปจัดการเชิญพระฤาษีมา!!
การมาเชิญพระฤาษีในครั้งแรกนั้นไม่สำเร็จ พระราชาจึงถูก ท้าวโกสีย์ผู้มีจิตริษยา (ท้าวสักกะจอมเทพ) ขู่กลับว่า ท่านได้รับปากไปแล้ว แต่หากทำไม่สำเร็จ ท่านก็จะต้องตาย
พระราชารู้สึกกลัดกลุ้มใจนักหนา เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพระฤาษีเป็นผู้มั่นคงในศีลเป็นการยากที่จะนำตัวท่านมาเพื่อทำพิธีบูชายัญได้
วันต่อมาจึงมีรับสั่งให้เหล่าปุโรหิตาจารย์มากหน้าหลายตาที่ล้วนสำเร็จวิชาปรัชญาชั้นสูงมาประชุมกัน แล้วคนหนึ่งในจำนวนนักปรัชญาเหล่านั้นก็เสนอความคิดอันแยบยลขึ้นมาได้ว่า "ธรรมดาบุรุษทั้งหลาย ย่อมมีความยินดีพอใจในมาตุคาม..."
จันทวดีราชธิดาสาวโสภาผู้เลอโฉมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้ เมื่อรับคำของพระราชบิดาแล้ว จึงได้เรียนเอาอิตถีมายาจนคล่องแคล่วชำนาญการ
การเดินทางเข้าป่าไปเพื่อเชิญพระฤาษีครั้งที่สอง จึงเกิดขึ้น++
แต่พอเมื่อคณะเดินทางไปถึงแล้ว ก็กลับเจอพระฤๅษีท่านปฏิสันถารด้วยคำดุ และเมื่อท่านเหลือบแลไปเห็นจันทวดีราชธิดาที่งามดุจเทพอัปสร ก็เดาออก ว่าเขาจะเอามาตุคามมาล่อ จึงออกปากไล่บอกไปให้พ้น แล้วท่านฤๅษีกัสสปก็เข้าที่นั่งสมาธิต่อไป
หากแต่เสยยะอำมาตย์ไม่ได้ถอยกลับไป ตามคำตวาดไล่ของพระฤๅษี กลับสั่งให้ตั้งค่ายพักอยู่บริเวณใกล้ ๆ นั้น
จนรุ่งเช้า จันทวดีผู้รับมาทำหน้าที่สำคัญ ได้จัดแจงอาหารหลากรสเข้าไปถวายท่านฤๅษี เพื่อทำความสนิทสนม
ในตอนแรก แม้จะถูกพระฤๅษีดุและขู่ตวาด แต่นางกลับแสดงกิริยาเป็นผู้รับใช้คล้ายภักดีอย่างล้นเหลือ
ผ่านมาหลายวัน เมื่อนางสังเกตเห็นว่าท่านฤๅษีเริ่มมีใจอ่อน โดยมิได้เจริญสมาธิภาวนาเคร่งครัดเหมือนแต่ก่อน
จึงเป็นโอกาส ที่จันทวดีราชธิดาได้แสดงอิตถีมายา ฤๅษีผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้สำรวมอินทรีย์ เหลือบเห็นนิมิตนั้นแล้ว ก็ขาดสติสัมปชัญญะ เกิดความปฏิพัทธ์ยินดีขึ้น ในใจมีแต่ความปรารถนาที่จักได้นางนั้นมาเป็นภรรยาของตน
ขณะที่ความกำหนัดยินดีเกิดขึ้นในดวงใจ ฌานสมาบัติที่ตนได้บรรลุและระวังรักษามานานหลายสิบปี ก็เสื่อมหายไปในทันที
จันทวดีสังเกตว่าพระฤๅษีเกิดรักใคร่ในตนแล้วก็ดีใจ รีบแจ้งให้เสยยะอำมาตย์ทราบ เสยยะอำมาตย์จึงรีบเข้าไปในกุฎีท่านฤๅษีทำทีสนทนาเรื่องอื่นแล้วก็กราบเรียนท่านฤๅษีว่า..
การที่ตนเดินทางมาครั้งนี้ ใช่ว่ามีเจตนามารบกวนให้ท่านเสียเวลา
แต่มาเพราะพระราชาคิดถึงและต้องการให้ท่านกลับไปอยู่ตามเดิม พร้อมจะทรงยกพระธิดาให้เป็นคู่ครอง ท่านฤๅษีจะว่าอย่างไร?
พระฤๅษีถูกความกำหนัดรึงรัดใจ จึงรำพึงไป ว่า "หากเป็นความประสงค์ดีของพระสหายที่มีแก่เรา ใครหรือจะขัดได้"
"หมายความว่าท่านตกลงที่จะกลับไปใช่หรือไม่ โอโห ! เป็นบุญลาภใหญ่ของเมืองสุดที่จะหาอะไรมาเปรียบได้" เสยยะอำมาตย์พูดเสียงดังด้วยความดีใจ..
และเตรียมพร้อมเดินทางกลับ พร้อมจัดที่นั่งให้พระฤๅษีนั่งมาในราชรถคันเดียวกับเจ้าฟ้าหญิงจันทวดีกุมารี
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตผู้อยากเป็นใหญ่ในปฐพี ทราบข่าวแล้วทรงดีพระทัยเหมือนมีใครเอามงกุฎจักรพรรดิมาวางถวาย รีบออกไปต้อนรับท่านฤๅษี
ทรงเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้ท่านฤๅษีทราบอีกครั้ง และรับรองว่า หากท่านฤๅษีทำปสุฆาตยัญสำเร็จ จะทรงยกพระราชธิดาให้เป็นคู่ครองพร้อมมอบทรัพย์สมบัติและยศตำแหน่งอันสูงเกียรติให้
ท่านฤๅษีผู้ถูกดำฤษณาเข้าครอบงำใจ ไม่ปฏิเสธเรื่องการทำบูชายัญ ตามประกาศิตอันพิลึกของพระอินทร์แล้ว พระราชาก็ทรงมีพระทัยผ่องแผ้ว รับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายออกไปเตรียมพิธีการบูชายัญ
ในวันรุ่งขึ้น พอได้ฤกษ์ พระราชาธิบดีพร้อมกับท่านกัสสปฤๅษี และจันทวดีราชธิดา ก็พากันไปยังที่บูชายัญ พิธีเบื้องต้นผ่านไป พิธีบูชายัญที่ดุร้ายครั้งมโหฬารก็เริ่ม ..
นั่นคือกัสสปฤาษีผู้มีผมสีดอกเลา อยู่ในชุดฤๅษี สวมชฎา พร้อมกับดาบที่คมกริบมั่นอยู่ในสองมือ วิ่งเข้าไปยังหลุมบูชายัญอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับเพชฌฆาตฆ่าคน ยกดาบขึ้นมาจังก้า หมายบั่นคอสัตว์ทั้งหลายให้ขาดกระเด็น เพื่อแลกเอาพระราชธิดาเป็นคู่ครอง
สัตว์ทั้งหลาย เช่นช้าง ม้า โค กระบือ พอเห็นเพชฌฆาตฤๅษี ถือดาบวิ่งตรงรี่เข้ามา ก็ตกใจด้วยรักตัวกลัวตาย สัตว์ที่เคราะห์ร้ายจึงพากันร้องเอ็ดตะโรไปตามประสาเดียรฉาน ดังระงมไปทั่วบริเวณ...
"ทนไม่ไหวแล้วโว้ย..ข้าทนดูไม่ไหวแล้ว แต่โบราณมาถึง
ปัจจุบัน การฆ่าสัตว์บูชายัญถือเป็นการทำบาป มีแต่พวกโง่เขลา คฤหัสถ์ทำยังพอเข้าใจ ทำเพราะงมงายเบาปัญญา และเพื่ออามิสสินจ้าง
แต่นี้พระฤๅษีผู้ทรงพรตพรหมจรรย์ เกิดความโมโหถือดาบ จะบั่น
คอสัตว์ทั้งหลายราวกับเพชฌฆาต ไม่ละอายต่อบาปสักนิด มีสภาพการณ์เช่นนี้ข้าทนดูไม่ได้ พวกเราทั้งหลายจะว่าอย่างไร" ประชาชนคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น ด้วยความเดือดดาลในการกระทำของพระฤๅษี
"เขาว่าตาฤๅษีนี้ โดยใจจริงแล้ว ไม่มีใจคิดที่จะฆ่าสัตว์บูชายัญเลย แต่เหตุที่ต้องจำใจทำ เพราะแกไม่เจียมสังขารเป็นเฒ่าลามกมากตัณหา ปรารถนาที่จักได้พระราชธิดามาเป็นคู่ ก็น่าเห็นใจแก" อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง ในขณะที่พระฤๅษีกำลังเงื้อดาบขึ้นจะฟันคอช้างมงคลหัตถีทำการบูชายัญ
"ฆ่าให้ตาย ! ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาพร้อมใจกันรุมฆ่าพระฤๅษี
นี้ให้ตายไปเสีย จะเอาไว้ทำไมกัน คนมัวเมามากตัณหาเช่นนี้
การฆ่าพระฤๅษีให้ตายในบัดนี้ประเสริฐกว่า นอกจากจะเป็นการช่วยพระฤๅษีไม่ให้ไปตกนรกอเวจี เพราะโทษของการฆ่าสัตว์แล้ว ยังเป็นการช่วยไม่ให้โลกมีประวัติชั่วว่า ครั้งหนึ่งพระกัสสปฤๅษีผู้เป็นที่เคารพบูชาของคนและเทวดาทั้งหลาย แต่มีน้ำใจโหดร้ายฆ่าสัตว์ใหญ่บูชายัญทั้ง ๆ ที่ทรงเพศเป็นฤๅษี ..
เพราะฉะนั้นพวกเราช่วยกันฆ่าพระฤๅษีให้ตายเสียในบัดนี้ดีกว่า" ผู้มีปัญญาเห็นการณ์ไกลอีกคน ชักชวนให้ฆ่าพระฤๅษี แล้วก็เริ่มเตรียมอาวุธทำท่าว่าจะรุมลงประชาทัณฑ์
พอได้ยินคำว่านรกอเวจี พระฤๅษีผู้หน้ามืดก็กลับได้สติขึ้นมาว่า ตัวเราเป็นพระฤาษีผู้มีฤทธิ์ แต่กลับทำตัวให้คนเขาด่าประจานและดูหมิ่น พอกันที.. ว่าแล้วก็ตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงวาสนาว่า หากได้ฌานที่เสื่อมไปแล้วกลับคืนมา จะหลีกหนีไปให้แสนไกล หากไม่ได้ญาณคืนมาก็ให้โดนประชาทัณฑ์ตายไปเสีย"
ว่าแล้ว ก็ขว้างดาบทิ้งไป ลงนั่งเจริญสมาธิภาวนา ไม่ช้าผู้คนทั้งหลายก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ ร่างท่านฤๅษีค่อย ๆ ลอยจากพื้นไปบนอากาศ เหาะเวียนบริเวณนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงเหาะลอยละลิ่วลับสายตา โดยบ่ายหน้าไปยังมหาวันป่าใหญ่แดนไกลโพ้น...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราทุกคนอย่าได้ประมาทในกิเลสตัณหา แม้แต่เทวดาชั้นฟ้ายังมีความอิจฉา เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่า ทิฏฐิของคนมีไม่เท่ากัน ดังนั้นสังคมควรได้รับการปลูกฝังสิ่งที่ดี ในความเชื่อในทางพระพุทธศาสนา การส่งลูกหลานมาบวชก็เป็นทางเลือกที่ดี ลูกหลานจะได้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ดีต่อไป
วิมุตติรัตนมาลี เล่มที่ 1 ล.3 หน้า 232 - 251
รูปภาพ www.pexels.com
ดังเรื่องราวของสองสหาย ที่รักและเติบโตมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นพระราชโอรสของพระราชา นามว่า พรหมทัตราชกุมาร และอีกคนเป็นบุตรของปุโรหิตา คือ กัสสปกุมาร..
![]() |
pexels.com |
ฝ่ายท่านกัสสปกุมารเป็นผู้มีใจสงบ ปรารถนาที่จะได้พบสุขอันเกิดจากความวิเวกสันโดษ เมื่อคิดทบทวนดีแล้วจึงเข้าไปกราบลาบิดามารดา และทูลลาพระราชา ออกบวชเป็นพระฤาษี
ตั้งใจเจริญสมถกรรมฐาน อยู่ในสำนักของอาจารย์ที่อยู่ในป่าใหญ่ ไม่นานท่านก็ได้บรรลุฌานสมาบัติ สามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ต่อมาท่านได้กราบลาพระฤๅษีอาจารย์ เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าลึกเพียงลำพัง
ด้วยว่ากัสสปฤๅษีท่านมีตบะแรงกล้า อีกทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของเทวดาทั้งหลาย
![]() |
pexels.com |
จึงคิดอุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วเข้าไปหาพระเจ้าพรหมทัต สั่งให้เอาตัวพระฤาษีมาเพื่อทำพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก หากทำสำเร็จพระราชาจะได้เป็นจอมกษัตริย์ผู้มีอำนาจใหญ่ มีอายุยืน ไม่แก่ ไม่ตาย!!
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตด้วยความอยากเป็นใหญ่ในปฐพี จึงรับปาก และมอบหมายหน้าที่นี้ให้อำมาตย์เสยยะ ไปจัดการเชิญพระฤาษีมา!!
การมาเชิญพระฤาษีในครั้งแรกนั้นไม่สำเร็จ พระราชาจึงถูก ท้าวโกสีย์ผู้มีจิตริษยา (ท้าวสักกะจอมเทพ) ขู่กลับว่า ท่านได้รับปากไปแล้ว แต่หากทำไม่สำเร็จ ท่านก็จะต้องตาย
พระราชารู้สึกกลัดกลุ้มใจนักหนา เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพระฤาษีเป็นผู้มั่นคงในศีลเป็นการยากที่จะนำตัวท่านมาเพื่อทำพิธีบูชายัญได้
![]() |
pexels.com |
จันทวดีราชธิดาสาวโสภาผู้เลอโฉมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้ เมื่อรับคำของพระราชบิดาแล้ว จึงได้เรียนเอาอิตถีมายาจนคล่องแคล่วชำนาญการ
การเดินทางเข้าป่าไปเพื่อเชิญพระฤาษีครั้งที่สอง จึงเกิดขึ้น++
แต่พอเมื่อคณะเดินทางไปถึงแล้ว ก็กลับเจอพระฤๅษีท่านปฏิสันถารด้วยคำดุ และเมื่อท่านเหลือบแลไปเห็นจันทวดีราชธิดาที่งามดุจเทพอัปสร ก็เดาออก ว่าเขาจะเอามาตุคามมาล่อ จึงออกปากไล่บอกไปให้พ้น แล้วท่านฤๅษีกัสสปก็เข้าที่นั่งสมาธิต่อไป
หากแต่เสยยะอำมาตย์ไม่ได้ถอยกลับไป ตามคำตวาดไล่ของพระฤๅษี กลับสั่งให้ตั้งค่ายพักอยู่บริเวณใกล้ ๆ นั้น
![]() |
pexels.com |
ในตอนแรก แม้จะถูกพระฤๅษีดุและขู่ตวาด แต่นางกลับแสดงกิริยาเป็นผู้รับใช้คล้ายภักดีอย่างล้นเหลือ
ผ่านมาหลายวัน เมื่อนางสังเกตเห็นว่าท่านฤๅษีเริ่มมีใจอ่อน โดยมิได้เจริญสมาธิภาวนาเคร่งครัดเหมือนแต่ก่อน
จึงเป็นโอกาส ที่จันทวดีราชธิดาได้แสดงอิตถีมายา ฤๅษีผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้สำรวมอินทรีย์ เหลือบเห็นนิมิตนั้นแล้ว ก็ขาดสติสัมปชัญญะ เกิดความปฏิพัทธ์ยินดีขึ้น ในใจมีแต่ความปรารถนาที่จักได้นางนั้นมาเป็นภรรยาของตน
ขณะที่ความกำหนัดยินดีเกิดขึ้นในดวงใจ ฌานสมาบัติที่ตนได้บรรลุและระวังรักษามานานหลายสิบปี ก็เสื่อมหายไปในทันที
![]() |
pexels.com |
การที่ตนเดินทางมาครั้งนี้ ใช่ว่ามีเจตนามารบกวนให้ท่านเสียเวลา
แต่มาเพราะพระราชาคิดถึงและต้องการให้ท่านกลับไปอยู่ตามเดิม พร้อมจะทรงยกพระธิดาให้เป็นคู่ครอง ท่านฤๅษีจะว่าอย่างไร?
พระฤๅษีถูกความกำหนัดรึงรัดใจ จึงรำพึงไป ว่า "หากเป็นความประสงค์ดีของพระสหายที่มีแก่เรา ใครหรือจะขัดได้"
"หมายความว่าท่านตกลงที่จะกลับไปใช่หรือไม่ โอโห ! เป็นบุญลาภใหญ่ของเมืองสุดที่จะหาอะไรมาเปรียบได้" เสยยะอำมาตย์พูดเสียงดังด้วยความดีใจ..
![]() | |
pexels.com |
ฝ่ายพระเจ้าพรหมทัตผู้อยากเป็นใหญ่ในปฐพี ทราบข่าวแล้วทรงดีพระทัยเหมือนมีใครเอามงกุฎจักรพรรดิมาวางถวาย รีบออกไปต้อนรับท่านฤๅษี
ทรงเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้ท่านฤๅษีทราบอีกครั้ง และรับรองว่า หากท่านฤๅษีทำปสุฆาตยัญสำเร็จ จะทรงยกพระราชธิดาให้เป็นคู่ครองพร้อมมอบทรัพย์สมบัติและยศตำแหน่งอันสูงเกียรติให้
ท่านฤๅษีผู้ถูกดำฤษณาเข้าครอบงำใจ ไม่ปฏิเสธเรื่องการทำบูชายัญ ตามประกาศิตอันพิลึกของพระอินทร์แล้ว พระราชาก็ทรงมีพระทัยผ่องแผ้ว รับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายออกไปเตรียมพิธีการบูชายัญ
ในวันรุ่งขึ้น พอได้ฤกษ์ พระราชาธิบดีพร้อมกับท่านกัสสปฤๅษี และจันทวดีราชธิดา ก็พากันไปยังที่บูชายัญ พิธีเบื้องต้นผ่านไป พิธีบูชายัญที่ดุร้ายครั้งมโหฬารก็เริ่ม ..
![]() |
pexels.com |
สัตว์ทั้งหลาย เช่นช้าง ม้า โค กระบือ พอเห็นเพชฌฆาตฤๅษี ถือดาบวิ่งตรงรี่เข้ามา ก็ตกใจด้วยรักตัวกลัวตาย สัตว์ที่เคราะห์ร้ายจึงพากันร้องเอ็ดตะโรไปตามประสาเดียรฉาน ดังระงมไปทั่วบริเวณ...
"ทนไม่ไหวแล้วโว้ย..ข้าทนดูไม่ไหวแล้ว แต่โบราณมาถึง
ปัจจุบัน การฆ่าสัตว์บูชายัญถือเป็นการทำบาป มีแต่พวกโง่เขลา คฤหัสถ์ทำยังพอเข้าใจ ทำเพราะงมงายเบาปัญญา และเพื่ออามิสสินจ้าง
แต่นี้พระฤๅษีผู้ทรงพรตพรหมจรรย์ เกิดความโมโหถือดาบ จะบั่น
คอสัตว์ทั้งหลายราวกับเพชฌฆาต ไม่ละอายต่อบาปสักนิด มีสภาพการณ์เช่นนี้ข้าทนดูไม่ได้ พวกเราทั้งหลายจะว่าอย่างไร" ประชาชนคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น ด้วยความเดือดดาลในการกระทำของพระฤๅษี
![]() |
pexels.com |
"ฆ่าให้ตาย ! ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาพร้อมใจกันรุมฆ่าพระฤๅษี
นี้ให้ตายไปเสีย จะเอาไว้ทำไมกัน คนมัวเมามากตัณหาเช่นนี้
การฆ่าพระฤๅษีให้ตายในบัดนี้ประเสริฐกว่า นอกจากจะเป็นการช่วยพระฤๅษีไม่ให้ไปตกนรกอเวจี เพราะโทษของการฆ่าสัตว์แล้ว ยังเป็นการช่วยไม่ให้โลกมีประวัติชั่วว่า ครั้งหนึ่งพระกัสสปฤๅษีผู้เป็นที่เคารพบูชาของคนและเทวดาทั้งหลาย แต่มีน้ำใจโหดร้ายฆ่าสัตว์ใหญ่บูชายัญทั้ง ๆ ที่ทรงเพศเป็นฤๅษี ..
เพราะฉะนั้นพวกเราช่วยกันฆ่าพระฤๅษีให้ตายเสียในบัดนี้ดีกว่า" ผู้มีปัญญาเห็นการณ์ไกลอีกคน ชักชวนให้ฆ่าพระฤๅษี แล้วก็เริ่มเตรียมอาวุธทำท่าว่าจะรุมลงประชาทัณฑ์
พอได้ยินคำว่านรกอเวจี พระฤๅษีผู้หน้ามืดก็กลับได้สติขึ้นมาว่า ตัวเราเป็นพระฤาษีผู้มีฤทธิ์ แต่กลับทำตัวให้คนเขาด่าประจานและดูหมิ่น พอกันที.. ว่าแล้วก็ตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงวาสนาว่า หากได้ฌานที่เสื่อมไปแล้วกลับคืนมา จะหลีกหนีไปให้แสนไกล หากไม่ได้ญาณคืนมาก็ให้โดนประชาทัณฑ์ตายไปเสีย"
ว่าแล้ว ก็ขว้างดาบทิ้งไป ลงนั่งเจริญสมาธิภาวนา ไม่ช้าผู้คนทั้งหลายก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ ร่างท่านฤๅษีค่อย ๆ ลอยจากพื้นไปบนอากาศ เหาะเวียนบริเวณนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงเหาะลอยละลิ่วลับสายตา โดยบ่ายหน้าไปยังมหาวันป่าใหญ่แดนไกลโพ้น...
![]() |
pexels.com |
วิมุตติรัตนมาลี เล่มที่ 1 ล.3 หน้า 232 - 251
รูปภาพ www.pexels.com
ช่วงนี้ปิดเทอมทางโลก
ตอบลบมาเปิดเทอมทางธรรม
ให้โอกาสบุตรหลาน มาบวชสามเณรกันเถิดนะคะ
กราบอนุโมทนาบุญ สาธุ เรื่องดีมีคุณค่า
ตอบลบสาธุ
ตอบลบ