อุบาสก.. ผู้ละจากความเพียรพยายาม!!

 ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีอุบาสกผู้หนึ่ง นามว่ามหาวาจกอุบาสก เขาเป็นคนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

 ได้บำเพ็ญทานรักษาศีลเป็นประจำ เรียนธรรมะ ฟังธรรม จนเกิดมีปัญญาแตกฉานในทางพระศาสนา..

 เรียกได้ว่าเขาเป็นคนชอบธรรมะธัมโม มีปกติวางโตคุยเฟื่องแต่เรื่องธรรมะ..

 ในวันหนึ่งอุบาสกเกิดความคิดที่ดีขึ้นมาว่า การที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากพระพุทธศาสนานั้น จะต้องบำเพ็ญภาวนา เพื่อให้เกิดมรรคผลนิพพาน..
kalyanamitra.org
 คิดดังนี้แล้ว แกก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญภาวนาตามที่ได้เรียนรู้มา เพียรพยายามอยู่นานนับหลายปี แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร ถึงอย่างนั้นก็มิได้ละความอุตสาหะพยายาม.. 

 เพราะความที่ตนเป็นผู้คงแก่เรียน "ตราบใด ที่บุคคลยังไม่บรรลุมรรคผล ตราบนั้นก็ยังต้องท่องเที่ยวในวัฏสงสาร บางทีอาจพลั้งพลาดไปเกิดในอบายภูมิ ก็ได้

 เมื่ออบายภูมิมาเตือนใจอยู่เช่นนี้ จึงไม่ลดละความพยาม แต่จะพยายามเท่าใดก็ยังไม่ได้บรรลุผลสักที..

 สาเหตุเป็นเพราะเขาขาดวาสนาบารมี และขาดกัลยาณมิตรอาจารย์ผู้บอกกัมมัฏฐานภาวนา

 ในที่สุด หลังจากบำเพ็ญภาวนามานาน เป็นเวลา ๕๐ ปี แต่ยังไม่บรรลุอะไรเลย จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเบื่อระอาเป็นที่สุด อกุศลก็ผุดขึ้นมาในใจ..

 คิดวิปริตไปว่า "ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้ความอะไร! เป็นแต่อุบายสอนคนให้ละชั่วประพฤติดี เพื่อคนทั้งหลายจะได้ไม่เบียดเบียนกัน โลกจะได้อยู่อย่างสงบสุข ก็เท่านั้นเอง

 นรก สวรรค์ วัฏสงสารมีที่ไหน? ถึงมี ศาสนานี้ก็ไม่สามารถนำสัตว์ออกจากวัฏสงสารไปได้ ดูแต่ตัวเราซิ! บำเพ็ญภาวนามานานด้วยความเหนื่อยยาก ถ้ามรรคผลมีจริง ป่านนี้คงได้บรรลุอะไรบ้างแล้วล่ะ..
 เรื่องนรกสวรรค์ มรรคผลนิพพาน เป็นเพียงอุบายของพระพุทธเจ้า ไว้สอนคนโบราณ เราก็หลงเชื่อถือให้เป็นบ้าไปได้ โธ่เอ๋ย! กูหนอกู โง่เสียตั้งนาน"

 ครั้งเกิดอกุศลจิต คิดวิปริตไปตามอารมณ์เช่นนี้แล้ว ก็เลิกจากการบำเพ็ญภาวนา ไม่ทำการกุศลสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะความไม่เชื่อถือและหมดศรัทธาไปเสียแล้ว..

 ในไม่ช้าอุบาสกนั้นก็ถึงแก่กรรม.. ด้วยโมหะจิตไม่มีหลักที่พึ่ง จึงต้องไปเกิดในรูปเดรัจฉานเป็นจระเข้ใหญ่ในบึงแห่งหนึ่ง ใกล้อรัญราวป่า มีสรีระน่าเกลียด อาศัยที่บึงใหญ่นั้นเป็นเวลายาวนาน..
pixabay.com
  สัตว์ทั้งหลายที่ทำบาปเอาไว้ ต้องไปชดใช้สิ่งที่ตนเคยทำมา ผู้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หากไม่ได้ทำกุศลเอาไว้ โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อยมาก

 เพราะธรรมชาติของสัตว์ มีโอกาสทำบาปได้ง่าย กว่าตอนเป็นมนุษย์ สมมติว่าตายแล้วไปเกิดเป็นเสือ ธรรมชาติของเสือ คือมีโทสะ คิดจะฆ่าผู้อื่นเพื่อกินเป็นอาหาร ตลอดชีวิตก็ต้องฆ่าสัตว์อื่นมากมายนับไม่ถ้วน.. 

และเมื่อตายแล้ว เสือตัวนั้นก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกอีก เพราะโทษของปาณาติบาต ต้องเป็นสัตว์นรกอยู่ตลอดกาลยาวนาน..  

 หรือ สมมติไปเกิดเป็นเนื้อเก้ง ตลอดชีวิตกินหญ้าและใบไม้เป็นอาหาร แต่บังเอิญเคราะห์ร้าย ถูกพรานยิงเข้าก็เจ็บปวดเป็นทุกข์ จิตจะเกิดโทสะ โกรธแค้นผูกใจเจ็บคนที่ยิง และโกรธเคืองตนเองด้วยทุกขเวทนาครอบงำ..

 ตามธรรมดาผู้ที่มีทุกขเวทนาครอบงำมากๆ ถ้าไม่มีหลักแล้ว จิตจะซัดส่ายคล้ายเป็นบ้า เกิดโทสะขึ้นมาโดยหาเหตุผลมิได้ ..
เมื่อโทสะเกิด ก็หมายความว่าจิตของเขาเศร้าหมองแล้ว เมื่อจิตเศร้าหมองอย่างนี้ จะไปเกิดในสวรรค์วิมาน หรือจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิได้อย่างไรกัน??

 มีในพระบาลีระบุไว้ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้!  

 เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว ก็พึงพิจารณาให้ดีว่า ผู้ที่โชคร้ายพลาดพลั้งไปเกิดในรูปเดรัจฉาน ถ้าหากไม่มีกุศลความดีที่ตนได้เคยสร้างไว้มาช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนแล้ว ก็เป็นการยากแสนยากที่จะยกตนให้พ้นจากอบายภูมิได้..

ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท จงหมั่นประกอบกุศลกิจ เพื่อผดุงชีวิตตนไม่ให้หล่นไปในกำเดินเดรัจฉานอีกต่อไป..

โลกทีปนี เล่ม 11 หน้า 118-121
รูปภาพจาก pexels.com

ความคิดเห็น