ทำถูกหลักวิชชา นำพาสู่สวรรค์

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทานมี ๘ ประการ คือ ให้ของสะอาด ให้ของประณีต ให้ตามกาล ให้ของสมควร เลือกให้ ให้เนืองนิตย์ ให้ด้วยจิตที่ผ่องใส และให้แล้วก็ดีใจ” (ปฐมสัปปุริสสูตร)


 ใจของมนุษย์เรานั้น สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของทั้งสงครามและสันติภาพ ถ้าใจของผู้คนเต็มไปด้วยความเร่าร้อนอันเกิดจากความโลภ ความโกรธ หรือความหลง 

ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นชนวนของความขัดแย้งก็เกิดขึ้นสงครามและการต่อสู้เบียดเบียนกันก็จะระบาดไปทั่วโลก ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเริ่มต้นจากไฟในใจคน เปรียบเสมือนประกายไฟของหัวไม้ขีดก้านเล็กๆที่ลุกลามเผาไหม้บ้านเมืองให้ย่อยยับได้

 เมื่อใดที่ใจของมนุษย์สงบเยือกเย็น พบความสงบสว่างที่เกิดจากใจหยุดนิ่งอยู่ภายในความสุขที่ไม่มีประมาณจะบังเกิดขึ้น ยังผลเป็นสันติภาพที่เริ่มจากตัวบุคคล

และขยายออกไปสู่บุคคลอื่น ครอบครัว ชุมชน สังคมประเทศชาติ และทุกภูมิภาคทั่วโลก จนกลายเป็นสันติภาพโลกที่เกิดขึ้นจากสันติสุขภายใน

เพราะฉะนั้น การเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนาให้ใจหยุดนิ่งใสสว่างอยู่ภายใน คือ วิธีสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนตลอดกาล


 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในปฐมสัปปุริสสูตร ความว่า...

 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทานมี ๘ ประการ คือ ให้ของสะอาด ให้ของประณีต ให้ตามกาล ให้ของสมควร เลือกให้ ให้เนืองนิตย์ ให้ด้วยจิตที่ผ่องใส และให้แล้วก็ดีใจ”

 เมื่อเรามีความตั้งใจจะทำทาน เพื่อให้เกิดบุญใหญ่  นอกจากจะทำให้ครบองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ วัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ และบุคคลบริสุทธิ์ทั้งผู้รับและผู้ให้แล้ว

  การให้ทานของสัตบุรุษซึ่งถือว่าเป็นการทำถูกหลักวิชชาคือ ให้ของที่สะอาด ประณีต ไม่ให้ของที่มีตำหนิ เป็นเดน หรือของที่ใช้แล้ว

 โดยเฉพาะของที่น้อมนำมาถวายสงฆ์นั้น เพราะท่านรู้ว่าผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ผู้ให้ของที่เลิศ ย่อมได้ของที่เลิศ ผู้ให้ของที่ดี ย่อมได้ของที่ดี

 นรชนใดให้ของที่เลิศ ให้ของที่ดี และให้ของที่ประเสริฐ นรชนนั้นบังเกิด ณ ที่ใดจะมีอายุยืน มียศในที่ที่บังเกิดแล้ว

 เพราะฉะนั้น การให้ของที่สะอาดและประณีตจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ว่าช่วงเวลานั้นไม่ได้มากไปด้วยมูลค่า แต่สามารถทำให้เกิดคุณค่า เป็นของควรบริโภคใช้สอยโดยไม่มีความกังวล

 สัตบุรุษจะเลือกถวายของที่สมควร ในพระสูตรท่านจัดว่า สิ่งของที่สมควรนำไปทำบุญถวายพระมี ๑๐ อย่าง คือ ข้าว น้ำ ผ้ายานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ที่นอน ที่พักอาศัย ประทีปโคมไฟ

 ถ้าย่นย่อเหลือเพียง ๔ อย่าง ได้แก่ จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานเภสัช

 ยังมีการให้ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีก คือการสละกิเลสออกจากใจ ไม่ให้ความโลภความโกรธ ความหลง หลงเหลืออยู่ในใจ

 สิ่งที่ควรสละออกไปจากใจนั้นแม้เป็นนามธรรมมองไม่เห็น แต่ผู้รู้ท่านกล่าวว่าเป็นทานโดยปรมัตถ์ 
คือการสละความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ อันเกิดกับใจ

 หากเราถ่ายถอนอารมณ์ออกจากความยินดีเหล่านี้ได้ พิจารณาว่านี้เป็นอารมณ์ของโลก ไม่ใช่อารมณ์ของธรรม แล้วสละอารมณ์เหล่านั้นเสีย ไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ให้เข้าไปเสียดแทงใจ

 ทำใจให้หยุดนิ่งเรียกว่าให้ธรรมารมณ์เป็นทาน ย่อมมีกุศลใหญ่ เป็นทางไปสู่พระนิพพาน ถือเป็นทานอันยิ่งใหญ่โดยปรมัตถ์

  สัตบุรุษจะเลือกให้ทาน คือสิ่งของที่ไม่ควรให้ มีตั้งแต่สุรายาเมา มหรสพที่ทำให้ประมาทมัวเมา สัตว์เพื่อการผสมพันธุ์ ภาพหรือสิ่งของที่ยั่วยุกามารมณ์


 และอาวุธเพื่อการทำมิจฉาชีพเพราะนอกจากจะไม่เกิดบุญเกิดกุศลแล้ว ยังเป็นบาปอกุศลอีกด้วย



 พระพุทธองค์ตรัสว่า “วิเจยฺยทานํ สุคตปฺปสตฺถํ การเลือกให้พระตถาคตทรงสรรเสริญ” คือ ต้องเลือกให้แก่เนื้อนาบุญ ด้วยการทำบุญในบุญเขต หรือท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคล

  นอกจากนี้ สัตบุรุษจะให้เนืองนิตย์คือ ให้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ให้ๆ หยุดๆ วันไหนมีอารมณ์ก็ทำ ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ทำ

 แต่จะมีอารมณ์เดียว ที่คิดแต่เรื่องที่เป็นกุศล เมื่อทำแล้วก็มีจิตเบิกบานผ่องใส และหมั่นตามนึกถึงบุญที่ทำนั้นบ่อย ๆ

 เหมือนในสมัยพุทธกาล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ มหาวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี

 สมัยนั้นมีอุบาสกคนหนึ่ง เป็นคนยากจน เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงาน

 ถึงแม้เขายากจนแต่ก็เป็นคนมีศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หมั่นหาโอกาสน้อมนำอาหารหวานคาวที่สะอาด ประณีต ไปถวายพระเป็นประจำ

 อีกทั้งยังเป็นลูกกตัญญู เลี้ยงดูมารดาบิดาที่แก่เฒ่าด้วยความเคารพ และความเต็มใจ ในวันพระ อุบาสกจะถืออุโบสถศีลและให้ทานตามกำลังทรัพย์ที่หามาได้

 ต่อมาเมื่อเขาละโลกแล้ว ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองสูง ๑๒ โยชน์ พระมหาโมคคัลลานะได้จาริกขึ้นไปสวรรค์ได้พบเห็นและสอบถามว่า..


 “สวนจิตรลดา เป็นสวนประเสริฐที่สุดของทวยเทพชั้นไตรทศย่อมสว่างไสวฉันใด วิมานของท่านก็อุปมาฉันนั้น สว่างไสวอยู่ในอากาศ ท่านได้เทพฤทธิ์มีอานุภาพมาก

 ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านทำบุญอะไรไว้ จึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้"

 เทพบุตรเมื่อพระเถระถามก็ดีใจ กราบเรียนพระเถระด้วยความปลื้มปีติว่า “ครั้งเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ไม่มีที่พึ่ง ยากไร้ เป็นกรรมกรเลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่เฒ่า

 อนึ่งสมณะผู้มีศีลเป็นที่รักของข้าพเจ้าข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าวและน้ำ ได้ถวายทานที่สะอาด ประณีต ด้วยจิตที่ผ่องใส ถวายโดยความเคารพ

 เพราะบุญนั้นข้าพเจ้าจึงมีวรรณะเช่นนี้ และเพราะบุญนั้นทิพยสมบัติอันน่าพอใจทุกอย่างจึงบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า”



 จากเรื่องนี้จะเห็นว่า ความจนไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการไปสวรรค์ เพราะผู้ทำบุญถูกหลักวิชชานั้น แม้ทานวัตถุที่นำมาถวายอาจไม่ได้มากด้วยมูลค่า

 แต่เมื่อต่อเติมความตั้งใจเข้าไป น้อมถวายด้วยความเคารพ ถวายของที่สะอาด ประณีต เหมาะ ควร ถวายถูกเนื้อนาบุญ และทำบุญบ่อย ๆ

 บุญนั้นก็สามารถนำพาให้ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันโอฬารได้



 เมื่อสั่งสมบุญแล้ว เกิดความปลื้มปีติในบุญที่ได้ทำ แสดงว่าทำถูกหลักวิชชาแล้วความปลื้มปีติจะส่งผลต่อไปเป็นความสงบกาย สงบใจ จะทำให้สมาธิตั้งมั่น ซึ่งจะมีผลให้เราเข้าถึงธรรมอย่างง่ายดาย

 หากปลื้มปีติในบุญมาก จะทำให้บุญส่งผลได้เร็ว หากปลื้มแล้วยังระลึกนึกถึงบุญได้บ่อยครั้ง บุญจะตามส่งผลให้เราประสบความสุขความสำเร็จบ่อยครั้งและมากชาติขึ้นไป


 การทำบุญด้วยความปลื้มปีติยังเป็นต้นบุญต้นแบบแก่คนรอบข้าง เขาจะสัมผัสได้ถึงความสุขจากการเป็นผู้ให้ และผู้ให้ย่อมองอาจสง่างาม จะพูดชักชวนใครทำความดีก็จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ฟัง

 ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วจะเกิดแรงบันดาลใจในการสร้างความดีดังนั้นขอให้ทุกท่านหมั่นศึกษาและปฏิบัติตามหลักการ การให้ทานของสัตบุรุษให้ได้กันทุกคน  

เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙  ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๐ DMC.TV

ความคิดเห็น

  1. บุญส่งผลในภพชาตินี้และภพชาติต่อไป

    ตอบลบ
  2. ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าและขอกราบอนุโมทนาบุญกับบทความดี ๆ ที่ยกใจผู้อ่านให้หมั่นสั่งสมบุญในพระพุทธศาสนา สาธุ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น