อานิสงส์การบูชาด้วยดอกบัว

ท่านสาธุชนยอดนักสร้างบารมีผู้มีบุญทั้งหลาย เราเกิดมาภพชาติหนึ่งได้มาทำความดีในมนุษยโลก มาพบพระพุทธศาสนา และตัวเราก็เป็นสัมมาทิฐิบุคคล นับว่าเป็นสิ่งที่ได้มายากแสนยาก

 เพราะนี่คือคุณสมบัติของผู้มีบุญที่จะใช้โอกาสที่ดีเช่นนี้สร้างบารมีตักตวงบุญกุศลได้เต็มที่ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประจำทุกวันผ่านมหาธรรมกายเจดีย์

 จะทำให้ใจผ่องใส ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเราและชาวโลก

  ดังนั้น การเดินทางไปสักการบูชามหาเจดีย์ ด้วยการนำดอกไม้ พวงมาลัย หรือของหอมไปสักการะ ถือเป็น “อามิสบูชา” และการสวดสรรเสริญ นั่งสมาธิ เจริญภาวนาจัดเป็น “ปฏิบัติบูชา” อันจะเป็นทางมาแห่งมหากุศลติดตัวเราข้ามภพข้ามชาติ

  ขอนำเรื่องราวของผู้มีบุญในอดีตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งได้รับผลบุญอันเกิดจากการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง บูชามหาเจดีย์ด้วยจิตเลื่อมใสบ้าง มาเล่าสู่ทุกท่าน เพื่อจะได้เกิดพลังศรัทธาและพลังใจที่อยากจะไปกราบสักการะและบูชามหาเจดีย์ให้ได้ทุกวัน หรือแม้ไม่ได้ไปแต่ก็ทำการบูชาผ่านเครื่องสื่อสารในทุกวัน

  มีธรรมภาษิตที่ท้าวสักกะจอมเทพตรัสไว้ในวิมานวัตถุ ความว่า..

  “ติฏฺฐนฺเต นิพฺพุเต จาปิ สเม จิตฺเต สมํ ผลํ เจโตปสาทเหตุมฺหิ สตฺตา คจฺฉนฺติ สุคตึ เมื่อพระตถาคตยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ดีปรินิพพานแล้วก็ดี เมื่อมีจิตเลื่อมใสเสมอกันผลบุญก็เสมอกัน สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติเพราะว่ามีจิตเลื่อมใส”

  การยังใจให้เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า เท่ากับว่าเราได้นำใจของเราเข้าไปผูกไว้กับสิ่งที่ประเสริฐสุด ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด จะทำให้ใจของเราผ่องใสอยู่เป็นนิจ

  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำอย่างที่สุด เพราะเป็นการกลั่นจิตกลั่นใจเราให้สะอาดบริสุทธิ์ไปในตัว ธรรมชาติของใจนี้ เมื่อคุ้นเคยกับสิ่งใดก็จะแล่นไปหาสิ่งนั้น

  หากผูกพันกับสิ่งที่เลิศที่ประเสริฐที่สุด ใจของเราก็จะถูกยกให้สูงตามไปด้วย และไม่ว่าเราจะสั่งสมบุญใดที่สืบเนื่อง ถึงพระองค์ แม้พระองค์ท่านจะยังมีพระชนม์ชีพอยู่หรือดับขันธปรินิพพานไปนานแล้วก็ตามอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลก็จะบังเกิดขึ้นกับเราส่งผลให้เรามีชีวิตที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียว

 
  ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้าพระองค์ทรงอุบัติขึ้นเพื่อนำแสงสว่างแห่งธรรมไปจุดประกายในดวงใจของมวลมนุษย์ ทำให้มีพระอริยสาวกทั้งมนุษย์และเทวดาได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันมากมายนับไม่ถ้วน

  ในครั้งนั้น นายมาลาการท่านหนึ่งเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันตสาวกกำลังเสด็จไปบิณฑบาตในนครหังสวดี ก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใส อยากจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่มี เพราะเป็นคนยากจนมีแต่ดอกบัว ๓ ดอกที่เก็บมาจากทุ่งนา

  ด้วยจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย นายมาลาการจึงสอนตัวเองว่า ถ้าหากนำดอกบัวนี้ไปขาย เราจะได้รับทรัพย์อย่างมากก็เพียงไม่กี่มาสก แต่หากถวายดอกบัวแด่พระพุทธเจ้าเราย่อมจะได้อริยทรัพย์คืออมตมหานิพพานทรัพย์นี้จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติทำให้เราไม่ต้องตกไปในอบายภูมิ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติจะบังเกิดขึ้นกับเราแน่นอน

 ทรัพย์จากการขายดอกบัวเป็นทรัพย์ที่ไม่ถาวร แต่ถ้าได้ถวายแด่พระบรมศาสดา เราจะได้ทรัพย์ที่ติดตามตัวไปข้ามภพข้ามชาติเราจะต้องรีบถวายดอกบัวบูชาพระรัตนตรัยก่อนที่ความเลื่อมใสของเราจะสั่นคลอน

  เมื่อสอนตัวเองเช่นนั้นแล้ว จึงยกมือพนมพร้อมดอกบัว ๓ ดอก ทำการนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วอธิษฐานจิตพร้อมกับซัดดอกบัวไปทางพระบรมศาสดา

  ด้วยจิตเลื่อมใสอันไม่มีประมาณของนายมาลาการในครั้งนั้น และด้วยพุทธานุภาพ ทำให้ดอกบัวลอยขึ้นไปในอากาศ กลายเป็นดอกบัวขนาดใหญ่มีขั้วอยู่ข้างบน ดอกห้อยลงข้างล่าง คลี่กลีบบานเป็นร่มยักษ์บนอากาศ

  ให้ความร่มเย็นแด่พระพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุสงฆ์ ชาวพระนครเห็นดังนั้นก็เกิดอัศจรรย์ใจไปตาม ๆ กัน ต่างเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการก้องพระนคร




  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาพลางตรัสในท่ามกลางมหาสมาคมว่า มาณพใดได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวนี้ มาณพนั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓๐,๐๐๐ กัปและจักได้เป็นจอมเทพเสวยทิพยสมบัติ ๓๐ ครั้ง

  จักมีวิมานชื่อมหาวิตถาริกะในเทวโลกสูง ๓๐๐ โยชน์ กว้าง ๑๕๐ โยชน์ พวงดอกไม้ ๔๐๐,๐๐๐ พวง ที่เทวดาเนรมิตอย่างสวยงามจะตามห้อยอยู่ที่ปราสาทอันวิจิตรและจะประดับบนที่นอน นางเทพอัปสรแสนโกฏิผู้มีรูปร่างงดงาม ฉลาดในการฟ้อนรำ การขับร้องและการประโคม จักมาเป็นบริวารคอยแวดล้อมอำนวยความสะดวกทุกอย่าง

  ฝนดอกไม้ทิพย์สีแดงจักตกลงในวิมานอันประเสริฐ ที่เกลื่อนกล่นด้วยหมู่เทพนารีแก้วปัทมราชซึ่งเป็นทับทิมเปล่งแสงแวววาวจักห้อยอยู่ตามฝาผนัง บานประตู ตามต้นเสาของวิมาน เหล่านางเทพอัปสรจักพากันปูลาดและห่มด้วยใบบัวอันเป็นทิพย์

  ได้พักผ่อนอยู่ภายในวิมานอันประเสริฐที่ดารดาษด้วยใบบัวดอกบัวแดงจะเบ่งบานแวดล้อมวิมาน แล้วส่งกลิ่นหอมตลบไปประมาณ ๑๐๐ โยชน์ และในภพสุดท้ายจักได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยของพระสมณโคดมพุทธเจ้า

  คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นจริงทุกอย่าง เมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ผู้ใดแล้วจะไม่กลายเป็นอื่น เพราะพุทธญาณเป็นญาณทัสนะที่บริสุทธิ์ ล่วงความเห็นของมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ทรงเห็นแจ้งทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถกำหนดรู้ถึงบุพกรรมและผลวิบากของผู้ที่ทำกรรมไว้

   เพราะฉะนั้นเมื่อละโลกไปแล้ว มาณพท่านนี้ก็ได้เสวยสุขในสวรรค์ มีวิมานทองเป็นรูปดอกบัวสว่างไสว กลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งไปทั่วเทวโลก ละจากอัตภาพนั้นยังได้มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง 

  เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ทำให้มีโอกาสได้สั่งสมบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านได้เสวยสมบัติอันเป็นของมนุษย์และของทิพย์ เป็นผู้ปลอดกังวลในทุกภพทุกชาติ

 
  ครั้นมาในภพชาตินี้ อานิสงส์ของการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัว ยังส่งผลให้ท่านได้มาฟังธรรมแล้วออกบวช เพียงไม่นานก็สามารถทำใจให้หยุดนิ่ง หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฤทธานุภาพ

  ท่านได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ อีกทั้งไม่ว่าท่านเดินไปที่ไหนจะปรากฏเหมือนมีดอกบัวเบ่งบานอยู่เหนือศีรษะของท่าน ถึงแม้เดินในที่กลางแจ้งก็เหมือนอยู่ในที่ร่มตลอดเวลา เป็นเพราะอานิสงส์ของการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวในครั้งนั้นนั่นเอง

  ดังนั้น หากสาธุชนผู้มีบุญ ปรารถนาบุญพิเศษจากการบูชาพระรัตนตรัย ก็ให้นำดอกบัวหรือดอกมะลิไปบูชาพระ โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสไปนมัสการมหาธรรมกายเจดีย์ก็ให้นำดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้แห่งการตรัสรู้ธรรมไปบูชาพระเจดีย์ดั่งเช่นครั้งพุทธกาล

   พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย วิบากของผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตยด้วยเช่นกัน
 
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙ /
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
ที่มา : www.dmc.tv  

ความคิดเห็น

  1. กราบอนุโมทนาบุญในธรรมทานจากพระอาจารย์ในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ
    สาธุๆๆเจ้าค่ะ 🌺🙏🙏🙏🌺

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น