การพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพ ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

 มนุษย์ทุกคนในโก ต่างก็ประสบกับชะตากรรมเหมือนกัน คือต้องประสบทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพราก และทุกข์นานาประการ

 การเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ที่จะช่วยกันจรรโลงรักษาพระธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ไปสู่ใจชาวโลก



 เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ให้พวกเขาได้อาศัยธรรมะเป็นที่พึ่ง เป็นที่เกาะเกี่ยวของใจ และเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้อยู่ในครรลองที่ก่อประโยชน์สุข ให้แก่ตนเองและผู้อื่น

 ไม่เบียดเบียน ไม่สร้างความเดือดร้อน ไม่ก่อทุกข์ ไม่ก่อบาป เป็นหนทางที่จะสลัดตน ออกจากกองทุกข์ เข้าถึงบรมสุขคือนิพพาน ในภพชาติสุดท้ายได้ในที่สุด


 ถ้าเราช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างนี้ จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการจรรโลงโลกไว้ ให้มนุษย์มีโอกาสสร้างความสุข ความเจริญ ให้แก่ชีวิตตนต่อไปได้

 การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น คือการที่พุทธบริษัททั้ง ๔ ได้ดำเนินตามรอยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ คือ มีพระพุทธประสงค์ ให้พุทธสาวกประกาศพระศาสนาออกไป

  เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลาย เพราะผู้มีธุลีน้อยในดวงตา (กิเลสเบาบาง) ยังมีอยู่เมื่อได้ฟังพระสัทธรรมแล้ว จะสามารถเข้าใจตามทันได้



  ชาวพุทธทุกคน เมื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว ควรจะทำหน้าที่ เป็นนักเผยแผ่ต่อไปด้วย ถ้าได้ฝึกฝนเตรียมความพร้อมให้ดี ก็จะทำหน้าที่ในด้านการเผยแผ่นี้ ได้อย่างมีคุณภาพ

 และที่สำคัญ เป็นการสั่งสมบุญใหญ่ ของตนเอาไว้ จะได้บุญมาก เป็นบุญละเอียดบุญประณีต ในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา

  แต่การเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะได้ผลดีเพียงใดนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของนักเผยแผ่” ด้วย คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน ของนักเผยแผ่ที่ดี มีอยู่ ๓ ประการ

 ๑. มีความรับผิดชอบตัวเอง คือ ความสะอาด ระเบียบ สุภาพ ตรงเวลา จิตตั้งมั่นมีสมาธิ(Meditation)

 ๒. มีทักษะด้านภาษา ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสาร ระหว่างมนุษย์ การที่จะสื่อสารกันให้เข้าใจ และรับการถ่ายทอดสาร จากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง

  ความสามารถทางภาษา เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน หรือเขียนก็ตาม และทักษะทางด้านภาษา เป็นสิ่งที่เรียนรู้ฝึกฝนกันได้ และจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนอยู่เสมอ

  หากฝึกเรื่อย ๆ ความเชี่ยวชาญจะเจริญขึ้นตามวัย และตามประสบการณ์ของผู้ฝึก


 ทักษะด้านภาษาสำหรับนักเผยแผ่

    • ฟังแล้วจับประเด็นได้
    • พูดได้เนื้อหาชัดเจน และออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธี
    • อ่านในใจ และอ่านออกเสียงได้ชัดเจน
    • เขียนได้ถูกอักขรวิธี เขียนได้ตรงประเด็น เรียงความ ย่อความได้

  การเป็นนักเผยแผ่ที่ดีนั้น เมื่อจะชวนเขามาทำความดี จึงต้องพูดจาสื่อสารให้รู้เรื่อง เมื่อจะฟังก็ต้องฟังรู้เรื่อง 

  เมื่อจะอ่านก็อ่านเป็น ทั้งอ่านในใจ และอ่านออกเสียง สะกดคำได้ถูกต้อง เข้าใจเรื่องราวที่อ่าน จับใจความได้ถูกต้อง แม่นยำ     

  เมื่อจะเขียน ก็ฝึกเขียนเรียงความให้เป็น เขียนให้เป็น คืออ่านแล้วสามารถเข้าใจได้

  อย่างแรก เขียนเพื่อให้เราได้ทบทวนความดี ที่ได้ทำมา เขียนเองอ่านเองให้ปลื้มใจ จะได้เป็นการทบทวนบุญของเราด้วย

  ฉะนั้นจะเขียนให้ครอบคลุม เราต้องย่อความให้กะทัดรัดชัดเจน

  ฝึกทำไปดังนี้ กว่าจะเขียนได้ เราก็ได้ฝึกจับประเด็น เรียงความให้เป็น ย่อความให้เป็น บทฝึกเหล่านี้พัฒนากระบวนการคิด การจำ  การรับรู้ของเราไปในตัว ฝึกไปเรื่อย ๆ ต่อไป

 ๓. มีจินตมยปัญญา เมื่อศึกษาฟังธรรม แล้วจดจำธรรมนั้นได้ นำมาทบทวน ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ และเกิดความเข้าใจ สรุปความได้ตรงประเด็น

  สามารถคิดแยกแยะความแตกต่าง ระหว่างผิดกับถูกดีกับชั่ว ประโยชน์กับมิใช่ประโยชน์

  มองเห็นประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการทำความดี ทั้งประโยชน์ที่เกิดกับตนเอง ครอบครัวหมู่คณะ ประเทศชาติ และประโยชน์ที่เกิดกับโลกนี้

  การที่จะฝึกได้ดีต้องจำหลักไว้ว่า น้ำขุ่น ๆ กุ้ง หอย ปู ปลา ที่อยู่ในน้ำมีเท่าไรก็มองไม่เห็น เพชรนิลจินดาอยู่ในโอ่งน้ำ ในสระน้ำเท่าไร ๆ ก็มองไม่เห็น 

  แต่ถ้าน้ำใส ๆ กุ้ง หอย ปู ปลามีมากเท่าไร ตัวเล็กตัวโตก็เห็นชัด เพชรนิลจินดาก็เห็นชัด

  ใจใส ๆ จะเห็นชัด ผิด-ชอบ ชั่ว-ดี แยกออก เห็นชัด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ มีคุณ มีโทษ มากน้อยเท่าไรเห็นชัด

  ฉะนั้น ฝึกใจกันให้ดี ประคองใจให้กลับมาอยู่ในตัว  ฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง เป็นสมาธิ ให้สม่ำเสมอทุกวัน

  เมื่อใจนิ่งดีแล้วใสดีแล้ว จะมองอะไรได้ออก มองอะไรได้ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง

  อานิสงส์ของนักเผยแผ่ เกิดไปกี่ชาติ ๆ มีความรู้ความดีอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ แล้วเรายังไม่รู้ ก็จะมีผู้มีบุญทั้งหลาย เอาความรู้ความดีมาแจกเรา หรือชวนเราไปร่วมทำความดีด้วย นี้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ที่เราจะพึงได้ จากการเป็นนักเผยแผ่

  ประโยชน์ส่วนรวม เมื่อเราตั้งใจทำ มีความรู้ความดีอะไรก็แจกไป ไม่หวงความรู้ ความดีนั้นก็จะแพร่กระจายไปทั่วบ้านทั่วเมือง ความสมัครสมานสามัคคีก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง และเดินหน้าได้ ที่จะประกอบคุณงามความดีกันต่อไป

  เมื่อพระพุทธศาสนา ยังคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่าใด  ในฐานะที่เรา มีส่วนในการเผยแผ่ มีส่วนในการทำให้ พระพุทธศาสนาอายุยืน เกิดไปกี่ภพกี่ชาติ อายุเราก็ยืน ความรู้ความดีที่เราศึกษามาได้ ก็จะตรึงตราอยู่ในตัว และในใจของเรายากจะลืมเลือน

  และมหาชนก็จะไม่ลืมเลือน ความรู้ความดีที่เราได้เผยแผ่ แจกจ่ายให้เขาไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครที่พูดถึงความดีกับเราครั้งใด เราก็เพิ่มความปลื้มใจ ให้แก่ตัวเองครั้งนั้น ปลื้มใจกันทั้งสองฝ่ายบุญใส ๆ ก็เพิ่มขึ้นทับทวี

  การเป็นนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา การทำหน้าที่ชาวพุทธที่แท้จริง จะ
ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา จรรโลงโลกใบนี้ ให้สงบร่มเย็นมีสันติภาพ เหมาะกับเป็นสถานที่ เพิ่มพูนโอกาสในการสร้างความดี และความเจริญแก่มนุษยชาติได้อย่างนี้เอง

หลวงพ่อทัตตชีโว
เนื้อหาจากสื่อ DMC ภาพดีๆ ๐๗๒

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น