เต่ากับปลาอาศัยอยู่ที่บึงใหญ่แห่งหนึ่ง คบหากันเป็นเพื่อนสนิทและนัดพบกันที่ริมกอแฝกขอบบึงเป็นประจำทุกวัน..
มาคราวหนึ่งเต่าเกิดหายไปไม่มาตามนัด ปลาจึงมารอเก้อพร้อมกับสงสัยว่าเต่าหายไปไหน เจ็บไข้ล้มตายไปหรืออย่างไร?
ผ่านไป ๒ – ๓ วันเต่าจึงปรากฏตัว ปลาจึงถามขึ้นว่า
“เพื่อนไปไหนมา หายไปตั้งหลายวัน” “เราไปเที่ยวบนบกมาเพื่อน” เต่าตอบ.
เนื่องจากปลาเป็นสัตว์น้ำจึงไม่เคยรู้เห็นเรื่องบนบกว่าเป็นอย่างไร ส่วนเต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก คืออยู่ในน้ำก็ได้อยู่บนบกก็ได้
ปลาจึงถามเต่าด้วยความสงสัย “บกมันเป็นอย่างไรหรือเพื่อน เหมือนกอแฝกนี่ไหม” “ไม่ใช่หรอกเพื่อน บกไม่เหมือนกอแฝก” เต่าตอบ.
“เหมือนโคลนไหม” “ไม่ใช่หรอก”
“เหมือนจอกเหมือนแหนไหม” “ไม่ใช่หรอก”
ปลาพยายามเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนได้เห็นในบึงว่าเป็นเหมือนบกไหม เต่าก็ตอบว่าไม่ใช่ๆ ทุกอย่างไป ทำให้ปลางุนงงสงสัยหนักขึ้นเพราะเกิดมาไม่เคยได้สัมผัสกับบก
ส่วนเต่าเล่าก็ไม่รู้จะอธิบายสภาพของบก ให้ปลาฟังได้อย่างไร ยิ่งอธิบายว่าที่บนบกนั้นมีสัตว์มากมาย มีช้าง มีม้า มีวัว มีควาย มีภูเขา มีต้นไม้ใหญ่ มีคน มีบ้านเรือน
ปลาก็ยิ่งซักถามหนักขึ้นว่าเหมือนอันนั้นอันนี้ในบึงใช่ไหมเต่าก็ตอบอยู่อย่างเดียวว่าไม่ใช่ไม่เหมือนตลอด.
เต่าไม่สามารถอธิบาย สิ่งที่เรียกว่าบก ให้ปลาเข้าใจได้ และปลาก็ไม่อาจเข้าใจบก ตามที่เต่าเล่าให้ฟังได้ ทำไปทำมาปลาก็เลยสรุปว่า..
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าบกไม่มีจริง เพราะไม่สามารถบอกสภาพให้ปลาเห็นได้”
“บกมีจริงๆ เราไปเที่ยวมาประจำ กว้างใหญ่ไพศาลมากนะเพื่อน” เต่ารับรอง
แต่ปลาไม่เชื่อเสียแล้ว ทำไปทำมาเต่ากับปลาก็เริ่มเถียงกันดังลั่น เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งอ่อนแรงไปด้วยกันจึงต่างฝ่ายต่างแยกกันไป และหลังจากนั้นมามิตรภาพของทั้งสองก็แตกสลาย ไม่ได้มาพบปะกันอีกเลย.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า การอธิบายสภาวะที่สัมผัสได้ยากให้คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นฟังนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแท้ เพราะจะอธิบายอย่างไร เปรียบเทียบอย่างไร เพื่อให้มองเห็นภาพนั้นตามเป็นจริง
อีกฝ่ายซึ่งไม่ได้สัมผัส ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ย่อมจะไม่เข้าใจอยู่ดี ยิ่งคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมา ด้วยตัวเอง เป็นแต่ได้ฟังมาจากคนอื่น
หรือจำมาจากตำราแล้วอธิบายให้คนที่ไม่เคยได้สัมผัสเหมือนกันฟัง ก็ยิ่งพากันหลงทางมากขึ้น ต่างก็จะเข้าใจไปคนละทางสองทาง
ขืนอธิบายไปก็มีแต่จะเถียงทะเลาะกันเหมือนเต่าซึ่ง
สัมผัสได้ทั้งน้ำทั้งบกย่อมรู้ทั้งเรื่องน้ำเรื่องบก แต่ไม่อาจอธิบายบกให้ปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำเข้าใจได้ และปลาก็ไม่มีวันจะเข้าใจบกได้ดีเท่าเต่าเพราะได้สัมผัสแต่น้ำ มีประสบการณ์เฉพาะเรื่องน้ำและสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจเข้าใจได้แน่นอน ก็หยุดอธิยาย หยุดพูดคุยกันถึงเรื่องนั้น ดีกว่า หรือหาเรื่องอื่นมาคุยดีกว่า
ขืนดันทุรังจะให้อีกฝ่ายรู้และเข้าใจ ตามที่ตนต้องการให้ได้ ก็จะได้แต่การเถียงกันทะเลาะกันเท่านั้น เผลอๆ อาจถึงแตกคอกันก็ได้.
จากหนังสือ กิร_ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com
มาคราวหนึ่งเต่าเกิดหายไปไม่มาตามนัด ปลาจึงมารอเก้อพร้อมกับสงสัยว่าเต่าหายไปไหน เจ็บไข้ล้มตายไปหรืออย่างไร?
ผ่านไป ๒ – ๓ วันเต่าจึงปรากฏตัว ปลาจึงถามขึ้นว่า
“เพื่อนไปไหนมา หายไปตั้งหลายวัน” “เราไปเที่ยวบนบกมาเพื่อน” เต่าตอบ.
![]() |
pixabay |
เนื่องจากปลาเป็นสัตว์น้ำจึงไม่เคยรู้เห็นเรื่องบนบกว่าเป็นอย่างไร ส่วนเต่าเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก คืออยู่ในน้ำก็ได้อยู่บนบกก็ได้
ปลาจึงถามเต่าด้วยความสงสัย “บกมันเป็นอย่างไรหรือเพื่อน เหมือนกอแฝกนี่ไหม” “ไม่ใช่หรอกเพื่อน บกไม่เหมือนกอแฝก” เต่าตอบ.
“เหมือนโคลนไหม” “ไม่ใช่หรอก”
“เหมือนจอกเหมือนแหนไหม” “ไม่ใช่หรอก”
ปลาพยายามเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนได้เห็นในบึงว่าเป็นเหมือนบกไหม เต่าก็ตอบว่าไม่ใช่ๆ ทุกอย่างไป ทำให้ปลางุนงงสงสัยหนักขึ้นเพราะเกิดมาไม่เคยได้สัมผัสกับบก
![]() |
pixabay |
ส่วนเต่าเล่าก็ไม่รู้จะอธิบายสภาพของบก ให้ปลาฟังได้อย่างไร ยิ่งอธิบายว่าที่บนบกนั้นมีสัตว์มากมาย มีช้าง มีม้า มีวัว มีควาย มีภูเขา มีต้นไม้ใหญ่ มีคน มีบ้านเรือน
ปลาก็ยิ่งซักถามหนักขึ้นว่าเหมือนอันนั้นอันนี้ในบึงใช่ไหมเต่าก็ตอบอยู่อย่างเดียวว่าไม่ใช่ไม่เหมือนตลอด.
เต่าไม่สามารถอธิบาย สิ่งที่เรียกว่าบก ให้ปลาเข้าใจได้ และปลาก็ไม่อาจเข้าใจบก ตามที่เต่าเล่าให้ฟังได้ ทำไปทำมาปลาก็เลยสรุปว่า..
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าบกไม่มีจริง เพราะไม่สามารถบอกสภาพให้ปลาเห็นได้”
![]() |
pixabay |
“บกมีจริงๆ เราไปเที่ยวมาประจำ กว้างใหญ่ไพศาลมากนะเพื่อน” เต่ารับรอง
แต่ปลาไม่เชื่อเสียแล้ว ทำไปทำมาเต่ากับปลาก็เริ่มเถียงกันดังลั่น เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ จนกระทั่งอ่อนแรงไปด้วยกันจึงต่างฝ่ายต่างแยกกันไป และหลังจากนั้นมามิตรภาพของทั้งสองก็แตกสลาย ไม่ได้มาพบปะกันอีกเลย.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า การอธิบายสภาวะที่สัมผัสได้ยากให้คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นฟังนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแท้ เพราะจะอธิบายอย่างไร เปรียบเทียบอย่างไร เพื่อให้มองเห็นภาพนั้นตามเป็นจริง
อีกฝ่ายซึ่งไม่ได้สัมผัส ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ย่อมจะไม่เข้าใจอยู่ดี ยิ่งคนที่ไม่เคยได้สัมผัสมา ด้วยตัวเอง เป็นแต่ได้ฟังมาจากคนอื่น
![]() |
pixabay |
หรือจำมาจากตำราแล้วอธิบายให้คนที่ไม่เคยได้สัมผัสเหมือนกันฟัง ก็ยิ่งพากันหลงทางมากขึ้น ต่างก็จะเข้าใจไปคนละทางสองทาง
ขืนอธิบายไปก็มีแต่จะเถียงทะเลาะกันเหมือนเต่าซึ่ง
สัมผัสได้ทั้งน้ำทั้งบกย่อมรู้ทั้งเรื่องน้ำเรื่องบก แต่ไม่อาจอธิบายบกให้ปลาซึ่งเป็นสัตว์น้ำเข้าใจได้ และปลาก็ไม่มีวันจะเข้าใจบกได้ดีเท่าเต่าเพราะได้สัมผัสแต่น้ำ มีประสบการณ์เฉพาะเรื่องน้ำและสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น
![]() |
pixabay |
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจเข้าใจได้แน่นอน ก็หยุดอธิยาย หยุดพูดคุยกันถึงเรื่องนั้น ดีกว่า หรือหาเรื่องอื่นมาคุยดีกว่า
ขืนดันทุรังจะให้อีกฝ่ายรู้และเข้าใจ ตามที่ตนต้องการให้ได้ ก็จะได้แต่การเถียงกันทะเลาะกันเท่านั้น เผลอๆ อาจถึงแตกคอกันก็ได้.
จากหนังสือ กิร_ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com
ขอกราบขอบพระคุณในเนื้อหาธรรมะที่อธิบาย ทำให้รู้จักการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจากความรู้ที่แตกต่างกันได้อย่างดียิ่ง
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบให้ข้อคิดดีมากๆ ครับ
ตอบลบ