เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ได้รับมรดกมหาศาลจากพ่อที่ตายไป จึงถามผู้จัดการมรดกว่า ทำไมปู่และพ่อจึงทิ้งสมบัติไว้ตั้งมากมาย ทำไมไม่นำติดตัวไปด้วย ??
ผู้จัดการมรดกจึงบอกว่า คนที่ตายไปแล้ว ไม่อาจนำทรัพย์สมบัติไปได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ ..
![]() |
pexels |
เขาจึงคิดว่า บรรพบุรุษของตนเป็นคนโง่ ไม่รู้จักกินไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ตายไปก็ไปมือเปล่า เราจะไม่ทำอย่างนั้น ..
หลังจากนั้น เขาก็ใช้สอยเงินทองอย่างมือเติบ แต่แทนที่จะใช้ให้เป็นทานหรือบูชาเทพเจ้า กลับใช้ไปในเรื่องกินเป็นหลัก !!
โดยให้จัดอาหารอย่างเลอเลิศทุกมื้อ อาหารแต่ละอย่างถูกปรุงมาอย่างดี ราคามื้อละเป็นแสน ขณะนั่งกินก็จัดให้มีมหรสพ มีนางรำ มีดนตรีเห่กล่อม ผู้คนก็แตกตื่นมาดูเขากินอาหาร และได้ดูมหรสพฟรีด้วย
![]() |
pixabay |
หนุ่มใหญ่บ้านนอกคนหนึ่ง เอาฟืนมาขายในเมือง จึงได้ไปดูเศรษฐีกินอาหารด้วย เพียงแค่ได้กลิ่นอาหารเท่านั้น ก็เกิดอยากกินจนใจจะขาด เมื่อทนไม่ไหวจึงเข้าไปหาเศรษฐีขออาหารกินดื้อๆ
“ท่านครับ กระผมเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยลิ้มรสอาหารที่มีกลิ่น และรสเลิศเหมือนท่าน กระผมอยากได้กินบ้าง ท่านโปรดให้กระผมได้ลิ้มลองสักคำก็ยังดีขอรับ”
![]() |
pixabay |
เศรษฐีตอบว่า “ให้เปล่าๆ ได้ไง อยากกินก็ต้องทำงานแลกสิ” เศรษฐีพูดลองเชิง แต่ในใจก็ชอบเขาอยู่แล้ว ที่กล้ามาขอตรง ๆ ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำเช่นนี้มาก่อน
“ท่านจะให้ทำอะไรกระผมทำได้ทั้งนั้น ขอให้ได้กินอาหารอย่างท่าน สักคำก็พอใจแล้วขอรับ”
“ก็ได้ เธอมาอยู่กับฉัน ทำงานให้ฉัน ๓ ปี แล้วฉันจะให้อาหารอย่างนี้แก่เธอถาดหนึ่ง” เศรษฐีพูดทีเล่นทีจริง
“ด้วยความยินดีขอรับ กระผมขอทำงานให้ท่าน ๓ ปี” เขาสัญญา
เมื่อเห็นเขาเอาจริงเศรษฐีก็ตกลง อยากรู้เหมือนกันว่า เขาจะเป็นคนจริงแค่ไหน หลังจากนั้น เขาก็เข้าไปอยู่ในบ้านของเศรษฐี ทำงานทุกอย่างที่เศรษฐี และหัวหน้าคนงานของเศรษฐีใช้
![]() |
pixabay |
เขาทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ด้วยความตั้งอกตั้งใจ แม้จะหนักและเหนื่อยก็ไม่บ่นไม่ท้อแท้ มุ่งมั่นให้ครบ ๓ ปีให้ได้ เขาทำงานจนมีประสบการณ์ มีความคล่องตัว รู้งาน และทำงานโดยไม่ต้องให้เจ้านายสั่ง จนเป็นที่รักและไว้วางใจ ของหัวหน้างานและเศรษฐี
เมื่อครบกำหนด ๓ ปีแล้ว เศรษฐีจึงให้คนจัดอาหารอย่างเลิศ เหมือนอย่างที่ตนรับประทาน ๑ ถาด แล้วให้ไปมอบแก่เขา เขาได้รับอาหารถาดโปรดแล้วก็ปลื้มใจยิ่งนัก
นี่เป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต เป็นผลงานของตนที่ต้องใช้เวลานานถึง ๓ ปีทีเดียว กว่าจะได้มา กะว่าจะกินให้อิ่มสมอยาก ก่อนจะกินเขาไปล้างมือจนสะอาดดีแล้ว เตรียมจะเปิบอาหาร
![]() |
pixabay |
ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง มองเห็นว่าคนผู้นี้กำลังจะรับประทานอาหาร ที่ได้มาด้วยการทำงานหนักถึง ๓ ปี ตรวจดูว่าเขาพอจะมีศรัทธาหรือไม่ เห็นว่าเขามีศรัทธาอยู่ จึงได้เหาะมายืนตรง
หน้าเขา
เขาเงยหน้าขึ้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ยืนถือบาตรท่าทีเหมือนต้องการอาหารอยู่ พลันก็คิดถึงตัวเองขึ้นมา “เราเกิดมายากจน อยากกินอาหารแค่ถาดเดียวแต่ต้องทำงานหนักถึง ๓ ปี
เพราะชาติก่อนเราคงไม่เคยให้ทานไม่เคยบริจาคอะไรเอาไว้ ชาตินี้จึงลำเค็ญเห็นปานนี้ อาหารถาดนี้คงจะให้ความอร่อยแก่เราชั่วเวลากิน และเลี้ยงร่ายกายเราให้อิ่มอยู่ได้ก็แค่ชั่ววันชั่วคืนเท่านั้น
ถ้าเราถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าไป อาหารนี้ก็จักตามเลี้ยงดูเราไปตลอดกัปตลอดกัลป์ อย่ากระนั้นเลยเรายอมเสียสละสุขแค่ชั่ววันและคืนเพื่อจะได้อิ่มตลอดไปดีกว่า”
เมื่อตัดสินใจอย่างนั้น เขาก็ยกถาดขึ้นแล้วค่อยๆ เกลี่ยอาหารใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พออาหารพร่องไปได้ครึ่งถาด พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ปิดบาตร แสดงอาการว่าพอแล้ว เขารู้กิริยานั้นจึงกราบเรียนท่านว่า ..
“ท่านขอรับ อาหารถาดนี้เพียงพอสำหรับคนคนเดียว ไม่พอที่จะแบ่งให้คนสองคน ขอพระคุณเจ้าอย่าสงเคราะห์กระผมในชาตินี้เลย ขอให้สงเคราะห์ในภพชาติต่อไปเถิด กระผมขอถวายจนหมดนี่แหละ” ว่าแล้วก็เกลี่ยอาหารลงในบาตรจนหมด
พระปัจเจกพุทธเจ้ารับอาหาร กล่าวอนุโมทนาขอให้เขา ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา แล้วเหาะไปที่เขาคันธมาทน์ ได้แบ่งอาหารนั้นถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย
โดยที่เขาและมหาชนก็มองเห็นการกระทำเช่นนั้นของพระปัจเจกพุทธเจ้า ทำให้เขาปลาบปลื้มใจมาก มหาชนต่างก็แซ่ซ้องสรรเสริญเขาว่าเป็นคนมีศรัทธา ไม่ตระหนี่ ทั้งที่อาหารนั้นได้มาด้วยความยากลำบากนักหนา
แม้เศรษฐีได้ฟังข่าวนั้นก็พลอยเลื่อมใสไปด้วย “โอหนอ น่าอัศจรรย์จริง คนผู้นี้ยอมลำบากถึง ๓ ปีเพื่อให้ได้อาหารถาดเดียว แต่เมื่อได้แล้วกลับถวายพระเสียง่ายๆ โดยไม่เสียดายแรงและเวลาที่เสียไป ทำสิ่งที่แม้เราเองก็ทำไม่ได้ และไม่เคยทำ น่าเลื่อมใสเสียจริงๆ”
![]() |
pixabay |
เขาขอบพระคุณเศรษฐี และขอแบ่งส่วนบุญให้เศรษฐี ขอให้เศรษฐีอนุโมทนาบุญของเขาด้วย เศรษฐีก็ยิ่งซาบซึ้งในน้ำใจของเขา สั่งให้นำสมบัติของตน มามอบให้เขาครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เขาก็เลยร่ำรวยขึ้นมาทันตาเห็น
ต่อมา เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบเรื่องนั้น ก็ทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า ทรงทราบรายละเอียด แล้วก็ทรงโสมนัสศรัทธายิ่งนัก จึงทรงสถาปนาให้เขา ดำรงตำแหน่งเป็นเศรษฐีใหม่ ของเมืองอีกคนหนึ่ง.
![]() |
pixabay |
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า คนรวยที่ได้ทรัพย์สมบัติมาง่าย ๆ จากกองมรดก มักจะไม่เห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัติ จึงกินใช้หมดเปลืองไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์กว้าง ๆ
กินใช้เฉพาะบำรุงบำเรอตัว และคนใกล้ชิดเท่านั้น และมักจะไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องชาตินี้ชาติหน้า เลยไม่ทำบุญไม่สร้างกุศลอะไร ทำให้พลาดโอกาส ที่จะสร้างกุศลสำหรับต่อยอดทรัพย์สิน ให้อยู่นานทั้งที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น
ส่วนคนจนเล่า ก็มักจะไม่คิดตระหนักว่า ที่ตนเองยากจนอยู่นั้นเป็นเพราะในชาติก่อน ตนคงเป็นคนตระหนี่ ไม่เคยให้ ไม่เคยเอื้อเฟื้อใครมา จึงได้เกิดมายากจน
เพราะคิดไม่ได้เช่นนี้ แม้จะพอมีให้ทาน พอจะเอื้อเฟื้อเจือจุนคนอื่นได้ แต่ก็เสียดาย กลัวจะหมดเปลือง ห่วงตัวเองจะอด เลยให้อะไรใครไม่ได้
เมื่อจำเป็นจะต้องให้ ก็ให้อย่างลำบากใจ ให้อย่างเสียดาย หรือให้แล้วก็ยังบ่นก่นว่า ผู้มาทำให้ต้องเสียเงิน เสียของอีก ผลที่ได้รับก็คือยิ่งจนหนักขึ้น ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้
ส่วนคนจนที่คิดได้ พิจารณาเห็นว่า ตนเองยากจนมาเพราะอะไร จึงพยายามแก้จน ด้วยการให้ เสียสละ ไม่ตระหนี่ เขาได้อานิสงส์ คือเริ่มมั่งมีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นอันพ้นจากวิบากกรรมที่ทำให้ยากจน และกลายเป็นคนรวยขึ้นมาได้ในที่สุด.
จากหนังสือ กิร_ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay
ขอกราบนมัสการและขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ