พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งทรงครองสิริราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดามาด้วยดีเป็นเวลานาน
ต่อมามีข้าศึกมาประชิดพระนครเพื่อต้องการยึดแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์
ข้าศึกตั้งค่ายรายล้อมพระนครไว้แล้วส่งพระราชสาส์นยื่นเงื่อนไขไป ๒ ข้อว่าจะรบหรือจะยอมเป็นเมืองขึ้น โดยให้เวลาตอบ ๓ วัน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้รับสาส์นแล้ว ก็ประชุมฝ่ายทหารก่อน ทรงปรึกษาว่าจะทำประการใดดี
ข้าศึกยื่นเงื่อนไขมาอย่างนี้ ทหารปรึกษากันแล้วก็กราบบังคมทูลว่า “ต้องรบ เพราะถ้าไม่รบจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรีทหารและพระนคร ตลอดถึงพระองค์ด้วยว่าขี้ขลาดตาขาว
รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เกิดเป็นชาย กลัวอะไรกับข้าศึก แพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ทรงฟังคำของขุนทหารแล้วพระองค์ทรงพอพระทัยและทรงเห็นด้วยว่าสมควรต้องสู้
แต่เพื่อให้รัดกุม วันรุ่งขึ้นตรัสเรียกประชุมฝ่ายพลเรือนที่ท้องพระโรง ทรงปรึกษาเหมือนกับฝ่ายทหาร
“การสู้รบไม่เป็นมงคลและเป็นบ่อเกิดแห่งความวิบัติพระพุทธเจ้าข้า” หัวหน้าฝ่ายพลเรือนกราบบังคมทูล
“การสู้รบไม่ว่าแพ้ หรือชนะมีแต่ความวิบัติ ประชาชนเดือนร้อนล้มตายเสียเลือดเสียเนื้อ แม้เศรษฐกิจก็จะระส่ำไม่เป็นกระบวน
ข้าวจะยากหมากจะแพง ทางที่ดีควรยอมเป็นเมืองขึ้นเขาไปก่อนดีกว่า เพราะศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
กำลังข้าศึกมีมากกว่าฝ่ายเราหลายเท่า และชำนาญศึกกว่า หากขืนสู้รบก็มีแต่แพ้ หากยอมสวามิภักดิ์ไปก่อนแล้วหาทางผ่อนผันในภายหลัง แบบนี้ย่อมรักษาชีวิตผู้คนและทรัพย์สินไว้ได้
เศรษฐกิจก็ไม่เสียหายมากนัก จะเสียก็เพียงเกียรติยศชื่อเสียง แต่เรื่องนี้ก็สามารถแก้ไขได้เมื่อเราสามารถกู้บ้านเมืองคืนมาได้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเห็นจริงตามคำกราบบังคมทูล ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีเหมือนกัน แต่ก็ทรงลังเลตัดสินพระทัยไม่ได้
ว่าจะรบหรือไม่รบ เสียเวลาไปอีกวันหนึ่ง
ฝ่ายพระมเหสีทรงเห็นพระราชสวามีทรงลังเลตัดสินพระทัยไม่ได้ เหตุผลของฝ่ายทหารก็เข้าทีดี ของฝ่ายพลเรือนก็เข้าท่าน่าฟังจึงกราบทูลว่า
“พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์รีบติดสินพระทัยเถิด จะมัวมาลังเล ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้หาควรไม่ เพราะเวลามันไม่คอยท่าแล้ว”
“ก็ถูกของเธอเหมือนกัน” พระเจ้าแผ่นดินตรัสคล้อยตาม แทนที่จะทรงพิโรธพระมเหสีที่ทูลตำหนิ ๓ วันตามกำหนด เมื่อข้าศึกไม่ได้รับคำตอบจึงยกพลบุกทันที
แต่ในพระนครยังไม่มีการสั่งการอะไรเลย เพียงชั่วหม้อข้าวเดือดก็สามารถเข้าเมืองได้โดยง่ายโดยไม่มีการต่อสู้
แล้วจับพระเจ้าแผ่นดิน พร้อมพระราชวงศ์ปลงพระชนม์เสียสิ้น ข้าศึกเลยได้เมืองนั้นอย่างง่ายดาย เพราะความลังเลไม่เด็ดขาด ของพระเจ้าแผ่นดินเมืองนั้นเอง.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า การไม่เป็นตัวของตัวเอง คิดเองไม่เป็น ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องใหญ่ และจำเป็นได้ด้วยตนเอง ฟังคนโน้นทีฟังคนนี้ที โอนเอนเป็นไม้หลักปักเลน ย่อมนำพาความหายนะมาให้ได้
ความโลเลเหลาะแหละ หูเบา เชื่อง่าย ก็เป็นเหตุแห่งหายนะเช่นเดียวกัน มิใช่จะนำหายนะมาสู่ตนเองเท่านั้น
ผู้เกี่ยวข้องและผู้อยู่ร่วมก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ถ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน
ถ้าเป็นหัวหน้าหมู่หัวหน้าคณะก็ทำให้หมู่คณะเดือดร้อน ถ้าเป็นผู้นำบ้านเมืองก็ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน
ส่วนการเป็นตัวของตัวเอง สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ฟังความเห็นของผู้อื่นแล้วนำมาประกอบการตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล เป็นลักษณะของผู้นำที่ดี
ผู้มีลักษณะนิสัยเช่นนี้จะสามารถนำพาครอบครัว นำพาหมู่คณะ นำพาสังคมและบ้านเมืองให้ถึงความสวัสดีมงคล ให้เจริญก้าวหน้า ให้พ้นจากความหายนะได้ด้วยประการทั้งปวง
ดังนั้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่เป็นผู้นำจึงจำต้องเด็ดขาดในการตัดสินใจเป็นตัวของตัวเองเมื่อต้องเลือกที่จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะดีไม่มีพลาด.
จากหนังสือ กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com
สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญ ที่สอนให้รู้คุณค่าการตัดสินใจที่เด็ดขาด สาธุ
ตอบลบต้องตัดสินใจนะเพราะเป็นผู้นำ
ตอบลบ