แร้งติดบ่วง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแร้งหนุ่มตัวหนึ่งนำแร้งพ่อแร้งแม่ซึ่งตาบอดไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วเลี้ยงดูปรนนิบัติอย่างดี ด้วยการออกหาอาหารตามสุสานบ้าง ตามป่าบ้าง ได้แล้วก็คาบไปให้พ่อแม่ ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลานาน

มีนายพรานคนหนึ่ง มีอาชีพในการใช้บ่วงดักสัตว์ เมื่อได้แล้วก็นำไปฆ่ากินบ้าง นำไปขายบ้าง วันหนึ่งเขานำบ่วงไปดักไว้ที่ป่าช้า แล้วคอยดูว่าจะมีสัตว์อะไรมาติดบ่วง จะได้จัดการเหมือนเคย 

และวันนั้นแร้งหนุ่มเดินหาซากสัตว์ตาย อยู่บริเวณนั้นพอดี ไม่ทันเห็น จึงถูกบ่วงรัดที่เท้า ยิ่งดิ้นบ่วงก็ยิ่งรัด 

ภาพประกอบบทความ นกแร้ง pexels

พอรู้ว่าไม่มีทางหลุดไปได้ แทนที่จะห่วงตัวเอง กลับรำพันถึงแต่พ่อแม่ เป็นภาษามนุษย์ ด้วยความห่วงกังวล “พ่อแม่ของเราจะรอดตายได้อย่างไรหนอ เราติดบ่วงอยู่อย่างนี้พ่อแม่เราคงไม่รู้ เมื่อท่านหมดที่พึ่งไม่มีใครช่วยเหลือ เห็นจะอดตายอยู่ที่ถ้ำเป็นแน่นอน” 

นายพรานได้ยินดังนี้ จึงออกจากที่ซ่อน แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “แร้งเอ๋ย เจ้ารำพึงรำพันอะไรหนอ นกพูดภาษาคนได้เราไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน

“ข้าพเจ้ารำพึงถึงพ่อแม่ตาบอด ที่คอยอาหารจากข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าติดบ่วงอยู่ในเงื้อมมือของท่านเช่นนี้ ท่านทั้งสองจะทำอะไรกันได้” แร้งหนุ่มกล่าว

“เขาว่าแร้งมีสายตาดี สามารถมองเห็นได้ไกล นับร้อยโยชน์ บินอยู่ลิบ ๆ บนท้องฟ้า ยังมองลงมาเห็นซากศพ ที่อยู่บนพื้นดินได้

แต่เหตุไฉนวันนี้ เจ้าจึงมองไม่เห็นบ่วง ที่วางดักอยู่ใกล้ ๆ เท้า ดันมาติดบ่วงของเราได้” นายพรานถามด้วยความสงสัย

ภาพประกอบบทความ นายพราน pixabay

แร้งหนุ่มจึงแสดงข้อความ อันเป็นสัจธรรมให้ฟังว่า “จริงของท่าน  ข้าพเจ้าเดินอยู่ ก็ยังไม่เห็นบ่วงของท่าน ที่วางไว้ธรรมดา ไม่ได้ซ่อนมิดชิดอะไรเลย 

ธรรมดาเมื่อสัตว์ถึงคราวจะเสื่อม ถึงคราวจะสิ้นชีวิต แม้ติดข่ายหรือบ่วงอยู่ก็ไม่รู้ตัว ยอมให้บ่วงหรือข่ายรัดเอาจนตาย”

นายพรานได้ยินดังนั้น ก็ให้นึกเห็นใจแร้งหนุ่ม เข้าไปแก้บ่วงออกจากเท้าแล้วบอกแร้งว่า “เจ้ากลับไปหาพ่อแม่ที่ถ้ำแล้วเลี้ยงดูท่านต่อไปเถิด เราอนุญาต ป่านนี้ท่านคงห่วงเจ้ามากแล้ว ขอให้เจ้าและวงศ์ญาติจงพบแต่ความสวัสดีมีโชคเถิด”

“ท่านพราน แม้ท่านเองก็จงมีโชคดีเช่นกัน ข้าพเจ้าจักกลับไปที่ถ้ำแล้วเลี้ยงพ่อแม่ให้ดีตามที่ท่านบอก” แร้งหนุ่มกล่าวแล้วก็บินกลับไปที่ถ้ำ แม้ว่าวันนั้นจะไม่ได้อาหารกลับไป แต่ก็ได้ชีวิตกลับไปหาพ่อแม่.

ภาพประกอบบทความ ความกตัญญู Pexels

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า ผู้ที่ถึงคราวจะประสบความหายนะ เช่นถึงคราวต้องเสียทรัพย์สินบ้าง ต้องเสียของรักบ้าง ต้องเสียอวัยวะบ้าง ต้องเสียชีวิตบ้าง ย่อมมีอะไรมาบังตาบังใจให้มืดบอด จนมองไม่เห็นคิดไม่ได้ 

แม้จะฉลาดปราดเปรื่อง หรือใหญ่โตมีฐานะยศศักดิ์สูงปานใดก็ตาม เมื่อถึงคราวแล้วย่อมหูหนวกตาบอด และใจมืดกล่าวคือเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี กลายเป็นคนหูเบาเชื่อคำคนง่าย ไม่มีเหตุผล ไม่ไตร่ตรอง 

ขาดความรอบคอบเอาเสียดื้อ ๆ ถ้าผู้ใหญ่ระดับผู้นำหมู่คณะ นำพาสังคม นำพาประเทศชาติไปสู่ความหายนะล่มจมในปัจจุบันทันตาเห็นทำนองเดียวกันผู้คนในหมู่คณะ ในสังคม ในประเทศชาติ 

เมื่อถึงคราวจะวิบัติล่มจมกันก็มักจะหูเบาบ้าง เชื่อคำคนง่ายบ้างเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวบ้าง ลืมอดีตลืมบทเรียนเก่า ๆ บ้าง 

กว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายไปเสียแล้ว วิบัติล่มจมไปเสียแล้ว เป็นทุกข์เดือดร้อนไปเสียแล้ว คนถึงคราวย่อมเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น.


จากหนังสือ กิร ดังได้สดับมา

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

ภาพจาก pixabay.com

ความคิดเห็น

  1. ขอกราบขอบพระคุณที่ให้ข้อคิดเตือนใจในการใช้ชีวิต สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น