ลิงล้างหู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลิงฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าทึบมาช้านาน แม้พวกมันจะเป็นแค่ลิง แต่ก็เป็นลิงที่มีวาสนา คือได้อยู่ในป่า ที่มีฤาษีอาศัยอยู่จำนวนมาก พวกมันได้ฟังเรื่องราวดี ๆ จากฤาษีอยู่เป็นประจำ 

ทำให้พวกมันสามารถรู้เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา เป็นอย่างดี และทั้งหมดได้สมาทานศีลห้า ตามคำแนะนำของฤาษี

พวกมันจึงอยู่กันอย่างสุขสงบ ไม่กัดกัน ไม่แก่งแย่งอาหารกัน ไม่สนุกสนานเกินขอบเขต ได้อาหารอะไรมาก็แบ่งกันกิน กิริยาต่าง ๆ ก็ละม้ายคล้ายมนุษย์เข้าไปทุกที

pexels

ภาพประกอบบทความ ฝูงลิง pexels

ต่อมาลิงตัวหนึ่งเห็นฤาษีหลายท่าน เดินทางเข้าไปในเมือง มันก็อยากรู้ว่าเมืองเป็นอย่างไร จึงติดตามฤาษีไป พอไปถึงเมือง ฤาษีก็เข้าไปทำพิธีที่บ้านแห่งหนึ่ง 

มันจึงแยกตัวออกมา และกระโดดไปยังต้นไม้ต้นโน้นต้นนี้ ในที่แห่งหนึ่ง มันเห็นคนกำลังฆ่าแพะบูชายัญอยู่ เสียงแพะร้องด้วยความเจ็บปวด มันตกใจเพราะไม่เคยเห็น จึงรีบกระโดดไปยังต้นไม้อื่น 

มันไปเรื่อย ๆ ชมบ้านชมเมืองไป จนไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มันเห็นเจ้าหน้าที่กำลังโบยชายคนหนึ่ง มีผู้คนมุงดูกันแน่น มันได้ยินว่าชายคนนี้ไปขโมยของมาจากตลาด และถูกจับได้

เจ้าหน้าที่จึงจับแล้วโบย ฐานลักทรัพย์ก่อนที่จะนำไปขัง มันเห็นแล้วก็สงสารคนถูกโบย มันไปถึงตลาดแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงแม่ค้าสองคนทะเลาะกัน และด่าทอกันด้วยคำหยาบคาย และเข้าทำร้ายกันและกัน ลิงเห็นเข้าก็ตกใจ โอหนอมนุษย์ เขาเป็นอย่างนี้เองหรือ 

ภาพเพื่อประกอบบทความ ลิงฉลาก pexels

มันเดินไปตามถนน เห็นคนนั่งดื่มสุรากันที่ร้านสุรา ดื่มไปหัวเราะกันไปเหมือนคนบ้า บางคนส่งเสียงเอะอะโวยวาย เหมือนคนเสียสติ มันเห็นแล้วก็ให้อนาถใจนักหนา

ตกบ่ายมันกลับมายังบ้าน ที่ฤาษีทำพิธีอยู่ ไม่นานฤาษีก็ออกจากบ้านนั้น เพื่อกลับอาศรมในป่า มันก็ตามฤาษีกลับ เมื่อกลับมาถึงป่า เพื่อนลิงทั้งหลายก็มารุมล้อม แล้วถามว่าในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง มนุษย์เขาเป็นอยู่กันอย่างไร?

“โอย อย่าให้พูดเลยเพื่อนเอ๋ย” มันทำท่าอนาถใจ

“มันเป็นอย่างไรเล่าเพื่อน ในเมืองเขามีอะไรน่าดูมากนักหรือ” เพื่อน ๆ เร่งให้เล่า

“ในเมืองนั้นไม่น่าดูเลยเพื่อน ที่นั่นมีมนุษย์อยู่กันหนาแน่น บ้านช่องใหญ่โต เดินกันขวักไขว่น่าเวียนหัว บ้างก็ยกของ บ้างก็แบกของ บ้างก็ร้องตะโกนขายของ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่นกันสนุกสนาน พ่อแม่ก็ทำงานกันตัวเป็นเกลียว ดูแล้วเหนื่อยแทนจริง ๆ เพื่อนเอ๋ย”


มันหยุดไปนิดหนึ่ง เห็นเพื่อนสนใจฟังอยู่จึงเล่าต่อ “แต่พวกมนุษย์ที่เราเห็นนะ พวกหนึ่งกำลังฆ่าแพะบูชายัญ แพะมันร้องลั่น ดิ้นพลาด ๆ เลือดอาบท่วมตัว ไม่นานก็ตาย 

พวกหนึ่งกินดื่มสุรา กันอย่างสนุกสนาน มีอยู่คนหนึ่งไปวิ่งราวทรัพย์เขามา แล้วถูกจับได้จึงถูกโบยอยู่กลางตลาด”

พอมันเล่าถึงตอนนี้ลิงทั้งหลายต่างก็เอามืออุดหูแล้วบอกเพื่อนว่า “พอแล้ว ๆ ไม่ต้องเล่าแล้ว มนุษย์สกปรกกันขนาดนี้เชียวหรือ ไม่รักษาศีลกันเลยหรือไร ไม่อยากได้ยินแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้ว”

ภาพประกอบบทความ สัตว์ที่ฉลาดที่สุด pexels

เมื่อเพื่อนหยุดเล่า ลิงทั้งหมดต่างวิ่งไปที่ลำธาร วักน้ำมาล้างหูกันเป็นการใหญ่ ขณะนั้นฤาษีท่านหนึ่ง เห็นพวกมันจับกลุ่มกันที่ลำธาร จึงเข้าไปถาม “เฮ้ พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะ” 

“พวกผมล้างหูกันขอรับ หลวงพ่อ” พวกมันตอบ “ทำไมต้องล้างหูด้วยเล่า” ฤาษีถามอย่างสงสัย

“เมื่อสักครู่พวกกระผมได้ฟังเรื่องราว ของพวกมนุษย์จากเพื่อน ที่เข้าไปในเมืองมา ฟังแล้วมันช่างสกปรกหูเหลือเกิน พวกกระผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟัง เป็นเสนียดหู ฟังแล้วไม่เป็นมงคลแก่หูเลย ถ้ามันติดหูอยู่ก็จะทำให้เกิดอัปมงคลได้ พวกกระผมจึงมาล้างเสนียดอัปมงคลออกจากหูกันขอรับ หลวงพ่อ”

ฤาษีได้ฟังลิงแล้วก็นิ่งงันไป ไม่นึกเลยว่าแม้แต่ลิง เพียงแค่ได้ยินเรื่องการทำผิดศีลธรรม ของพวกมนุษย์เท่านั้น ยังเกิดความรู้สึกว่าไม่เป็นมงคล ต้องล้างออก ไม่อยากเก็บไว้ให้เป็นอัปมงคล 

แล้วพวกมนุษย์เล่า ได้เห็นได้ยินเรื่องร้าย ๆ ของพวกมนุษย์ด้วยกันเองทุก ๆ วัน จะสะสมอัปมงคลทางตาทางหูไว้มากมายขนาดไหน.

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..

เรื่องการทำสิ่งที่ชั่วเลวร้าย สิ่งที่ผิดศีลธรรม เป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังนักสำหรับคนดีทั้งหลาย คนฉลาดจะไม่ยอมรับฟังเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้เกิดความไม่สบายใจโดยใช่เหตุ

จึงพยายามป้องกันตัวเอง ด้วยการหลีกเลี่ยงไม่รับรู้ ไม่ดู ไม่อ่านไม่ฟังเรื่องเช่นนี้ เรื่องเช่นนี้หากได้ฟังบ่อย ๆ จะเกิดความเคยชินด้านชา ฟังได้โดยไม่รู้สึกว่าน่ากลัว หรือเลวร้ายอะไร

หรือรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เห็นเสียหายอะไร หากไม่รู้เสียอีกจะกลายเป็นคนโง่ ไม่ทันเหตุการณ์ หรือเป็นคนตกข่าว จึงทำให้เป็นคนหิวข่าว หิวเรื่องที่เลวร้าย จนมีนิสัยก้าวร้าว ชอบความรุนแรง ชอบความสะใจโดยไม่รู้ตัว 

และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป ว่าได้เสพเรื่องร้าย ๆ ได้เก็บสะสมเรื่องเน่าเหม็นไว้ในสมองและความคิดทุกวัน ซึ่งวันดีคืนดีมันก็ส่งผล ทำให้ออกอาการต่าง ๆ เช่นทำให้ใจขุ่นมัวบ้าง วิตกกังวลบ้าง โมโหโกรธาลม ๆ แล้ง ๆ บ้าง 

พูดพล่ามเพ้อเจ้อโทษคนนั้นคนนี้เรื่อยเปื่อยไปบ้าง นอนไม่หลับบ้าง ออกอาการถึงอย่างนี้แล้ว ก็มักจะยังไม่รู้สาเหตุกันอีก ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าจะรู้ระวังป้องกัน และบำบัดรักษาให้หายขาดเลย.


กิร ดังได้สดับมา พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

ภาพจาก pixabay.com

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น