ทำบุญบ้าน

สามีภรรยาคู่หนึ่ง หลังแต่งงานกันแล้ว ก็ช่วยกันทำมาหากิน และเก็บหอมรอมริบเงินไว้ จนสามารถซื้อบ้านได้หลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้ มีบริเวณพอสมควร 

จึงปรารภที่จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคล เมื่อตกลงกันแล้วก็กำหนดวัน ไปนิมนต์พระที่วัดในหมู่บ้านจำนวน ๙ รูป บอกญาติและเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดกันเพื่อไปร่วมทำบุญด้วยกัน 

ก่อนถึงวันงานก็ได้จัดเตรียมสิ่งของที่จะทำบุญ เตรียมของเข้าครัว เตรียมสถานที่ พร้อมทั้งแบ่งหน้าที่กันทำ เรื่องอาหารให้เป็นเรื่องของภรรยากับพวกผู้หญิง 

ภาพประกอบบทความ เตรียมภัตตาหาร pexels

ส่วนเรื่องต้อนรับพระ และศาสนพิธีเป็นเรื่องของสามี และพวกผู้ชายถึงวันงาน ญาติมิตรและเพื่อน ๆ ก็พากันมาและช่วยกันจัดทำตามที่ตกลงกันไว้ 

เมื่อพระมาถึงแล้ว ก็เริ่มทำพิธีทางศาสนาเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. ภรรยาขึ้นมาไหว้พระรับศีลพร้อมกับสามีก่อน แล้วรีบลงไปดูแลเรื่องอาหาร เนื่องจากต้องการให้พระฉันอาหารร้อน ๆ จึงมาเร่งทำตอนที่พระมาถึงแล้ว

เมื่อพระเจริญพระพุทธมนต์จบเวลา ๑๑.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาฉันเพลพอดี สามีจึงลุกเดินไปที่บันไดทางขึ้น แล้วร้องบอกลงไปว่าให้ยกอาหารขึ้นมาถวายพระได้แล้ว

“รออีกสักหน่อยพี่ ผัดอีกอย่างก็เสร็จแล้ว” เสียงภรรยาร้องตอบมาแว่ว ๆ สามีจึงกลับมานั่งแล้วบอกพระว่าอาหารใกล้เสร็จแล้วขอให้รอสักครู่ 

พระจึงบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกคุณ นั่งพักสักหน่อยก็ดี ไม่ต้องรีบหรอก” ผ่านไป ๑๐ นาที สามีก็ไปตะโกนเร่งอีก ภรรยาก็ตอบมาเหมือนเดิมว่า อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว 

ตอบแล้วก็เร่งจัดเร่งทำกันมือเป็นระวิง เนื่องจากมีคนทำไม่กี่คน เมื่อถูกเร่งถึงสองครั้งก็เร่งตักเร่งจัด จนมือไม้สั่นกันไปหมด อากาศก็ร้อนอบอ้าว เหงื่อเต็มหน้า

ฝ่ายพระเห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะตึงเครียด จึงพูดปลอบใจสามีและพวกผู้ชายว่าไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่า ฉันเพลตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งก็ยังทัน

ผ่านไปอีก ๑๐ นาที สามีก็ลุกพรวดลงไปที่กลางบันได ตะโกนเสียดังลั่น “บอกให้เร็ว ๆ เข้า ปล่อยให้พระคอยแหงนหมาอยู่ได้” ได้ยินกันทั้งบ้าน เล่นเอาเงียบไปทั้งโยมทั้งพระ 

ฝ่ายภรรยาได้ยินดังนั้นก็เกิดอารมณ์ ร้องตะโกนสวนขึ้นมาทันทีเหมือนกัน “ก็บอกแล้วไงว่าให้รอเดี๋ยว ไม่รู้จะรีบไปหาส้นตี...อะไร”

คราวนี้ทั้งโยมทั้งพระถึงกับสะดุ้งโหยง บรรยากาศเริ่มไม่ดีเสียแล้ว พระมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขำก็ขำ หัวหน้าสงฆ์จึงบอกสามีว่า

“ใจเย็นเถอะคุณ ไม่เป็นไรหรอก บอกแล้วไงว่ายังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง อย่าไปเร่งเขาเลย เดี๋ยวจะไม่ได้ฉันเอาน่า” พูดแล้วท่านก็หัวเราะเบา ๆ พลอยให้บรรยากาศข้างบนค่อยคลี่คลายลง

ภาพประกอบทบความ ภัตตาหารถวายพระ pexels

ภาพประกอบทบความ pexels

ภาพประกอบทบความ ภัตตาหาร pexels

หลังพายุอารมณ์สงบไม่นาน อาหารทุกอย่างก็ถูกลำเลียงขึ้นมาข้างบน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะพระกำลังฉันอยู่ ทั้งคู่ได้มอบให้พวกผู้ชายช่วยดูแลพระแทน 

ส่วนตัวเองได้เข้าไปในห้องนอนเพื่อเตรียมปัจจัยของถวายพระ ปรึกษากันว่าจะถวายรูปละเท่าไรดี “รูปละห้าสิบบาทก็พอมั้ง พระท่านก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรนักนี่ เราจ่ายค่าอาหาร และของถวายก็หลายอย่างแล้ว” สามีเสนอ

“น้อยไปมั้งพี่ นาน ๆ เราจะได้ทำบุญสักที ถวายท่านรูปละร้อยก็แล้วกันนะ” ภรรยาใจถึงกว่าเพิ่มขึ้นเท่าตัว

เสียงห้าสิบ ร้อยหนึ่ง ห้าสิบ ร้อยหนึ่ง อยู่ในห้องเริ่มดังออกมาข้างนอก ทั้งพวกผู้ชายทั้งพระได้ยินชัดเจน ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินคือ เสียงฝ่ายหญิงติดตามด้วยเสียงฝ่ายชายลอดออกมาดังลั่น

“เอ๊ะ บอกว่าร้อยหนึ่ง พี่นี่พูดไม่รู้เรื่องเลย”

“งั้นก็ถวายแม่ง...สองร้อยไปเลย หมดเรื่อง”

ทำเอาพระสำลักอาหารไปหลายรูป แต่ก็รีบทำเป็นหูหนวกเสีย พวกผู้ชายก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เฉไฉชวนพระคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไป

เหตุการณ์และการทำบุญวันนั้นก็ผ่านไปด้วยดี ท่ามกลางอารมณ์อันดุเดือดของเจ้าของงาน สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าในซองที่ถวายพระวันนั้นมีปัจจัยอยู่เท่าไร นอกจากพระที่ไปฉันเท่านั้น ซึ่งท่านก็มิได้เปิดเผยให้ใครทราบ.

pixabay

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า การทำบุญนั้นเป็นการทำความดีอย่างหนึ่ง ที่ผู้ทำต้องการสิ่งตอบแทน คือผลอานิสงส์ที่ดี ๆ จึงทำด้วยอารมณ์ที่ดี ไม่ให้ขุ่นมัว 

ขณะทำนั้นควรรักษาอารมณ์ให้ยิ้มแย้มแจ่มใสไว้เสมอ มีอะไรมากระทบซึ่งจะทำให้อารมณ์เสียหรือไม่พอใจ ต้องระงับไปให้ได้โดยพลัน มิเช่นนั้นจะเสียการได้ 

ท่านว่าในการทำบุญต้องมีเจตนา คือความตั้งใจที่ดีใน ๓ ระยะ คือก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำแล้ว บุญที่ทำจึงจะส่งผลอานิสงส์ให้อย่างสมบูรณ์

เช่นเดียวกันแม้การทำความดีอย่างอื่น เพื่อหวังผลตอบแทน เช่นการทำงาน การประกอบอาชีพ การติดต่อกับผู้คน การค้าขาย การขอความช่วยเหลือ ก็จำต้องรักษาอารมณ์ให้ยิ้มแย้มแจ่มใส

หน้าชื่นตาบานไว้ตลอดเวลา เก็บน้ำขุ่นเข้าไว้ข้างใน แสดงน้ำใสออกมาข้างนอก จะสำเร็จประโยชน์ที่ต้องการ หากปล่อยให้น้ำขุ่นออกมาข้างนอก นอกจากจะอดได้ผลที่ต้องการแล้วยังอาจถึงกับพังไปเลยก็ได้ 

เพราะอารมณ์เสียอารมณ์บูด ซึ่งเหมือนกลิ่นขยะเน่านั้น ไม่อาจสร้างแรงจูงใจและมิตรภาพได้เลยแม้แต่น้อย.


กิร ดังได้สดับมา 

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

ภาพจาก pixabay.com

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น