พระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษพระองค์หนึ่ง ทรงดำรงอยู่ในฐานะพระยุพราช พระองค์ถูกส่งไปศึกษา ที่โรงเรียนนายเรือระดับสูง ขณะเมื่อพระชนมพรรษาได้ ๑๔ พรรษา
ในโรงเรียนนั้นทรงมีพระสหายร่วมชั้นมาก ทุกคนเมื่อเรียน ทำกิจกรรม และอยู่ร่วมกันนานเข้าก็สนิทสนมกัน และลืมความเป็นเจ้า เป็นสามัญชนกันไปโดยปริยาย
![]() |
ภาพประกอบบทความ วัยเรียน |
สมเด็จพระยุพราช ก็ทรงให้ความเป็นกันเอง กับพระสหายเหล่านั้น อย่างไม่ถือพระองค์ มามีเหตุเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง นายทหารเรือผู้เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ไปพบพระยุพราช กำลังทรงกันแสงอยู่ตามลำพัง จึงเข้าไปทูลถามถึงสาเหตุ
ตอนแรกก็ไม่ตรัสบอก ว่าเรื่องอะไร เพราะกลัวว่า ผู้เป็นต้นเหตุจะถูกทำโทษ และพระองค์เองจะเดือนร้อนขาดเพื่อน แต่เมื่อนายทหารผู้เป็นอาจารย์ขอร้อง จึงตรัสอ้อมแอ้ม ๆ ว่า “ข้าพเจ้าถูกเพื่อน ๆ รุมเตะก้นเมื่อตอนกลางวัน”
![]() |
ภาพประกอบบทความ สหายร่วมชั้น |
นายทหารผู้นั้นได้ยินดังนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงไปรายงานผู้บังคับการโรงเรียนทราบ ผู้บังคับการโรงเรียน จึงเรียกนักเรียนนายเรือทั้งหมด ไปรวมกันที่ห้องประชุม
ตลอดทั้งครูอาจารย์ทั้งหมด เพื่อหาคนทำผิดมาลงโทษ และเพื่อมิให้เสื่อมเสียชื่อเสียงโรงเรียน ว่าทำร้ายพระราชวงศ์ แล้วไม่ดำเนินการลงโทษอะไร ทำเอาเครียดกันไปทั้งห้องประชุม
ผู้บังคับการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง แล้วพูดตบท้ายว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผู้ทำผิดไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้ความควรไม่ควร ทำสิ่งที่ไม่น่าทำ
เป็นนักเรียนทหาร ต้องมีระเบียบวินัย ใครเป็นผู้ทำก็ขอให้รับสารภาพมาโดยดี ให้สมกับเป็นชายชาติทหาร อย่าให้ถึงต้องสอบสวนกันหมดทุกคนเลย”
สิ้นคำผู้บังคับการ นักเรียน ๔ – ๕ คนยกมือขึ้นสลอน ซึ่งล้วนเป็นพระสหายของพระยุพราชทั้งสิ้น
ผู้บังคับการจึงเรียกทั้งหมด มายืนข้างหน้าแถว ทำหน้าที่สอบสวนเองว่า “พวกเธอทำเช่นนี้ทำไม รู้ไหมว่าทำอะไรลงไป”
นักเรียนนายเรือคนหนึ่ง ดูท่าทางทะมัดทะแมงแบบเป็นหัวโจก ได้ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “พระยุพราชพระองค์นี้ ต่อไปจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นใคร ๆ ก็คงไม่อาจล่วงเกินพระองค์ได้ แต่ตอนนี้พวกกระผมทำเช่นนี้ เพราะคิดกันว่า ต่อไปจะได้คุยกับใคร ๆ ได้ว่าเคยเตะก้นพระเจ้าแผ่นดินมาแล้ว จึงเตะล้อพระองค์เล่นกันขอรับ”
สิ้นเสียงตอบ เสียงฮาครืนได้ดังไปทั้งห้องประชุม พระยุพราชก็ทรงพระสรวลด้วยความขำพระทัย ทรงหายพิโรธทันที เมื่อทรงรู้ความจริง พร้อมทั้งทรงคิดว่า..
“อันที่จริงเราก็มีความสำคัญ และมีประโยชน์เหมือนกันนะทำให้เขานำไปคุยโตกับใครต่อใครได้ว่าเคยเตะก้นเรามาแล้ว ถ้าไม่สำคัญพวกเขาคงไม่เตะเรา”
ทรงคิดอย่างนี้ จึงทรงประกาศไม่เอาเรื่องกับนักเรียนเหล่านั้น เรื่องก็จบลงด้วยดี
![]() |
ภาพประกอบบทความ ไม่ถือโทษ |
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..
การเล่นที่พิเรนนั้นควรดูที่ต่ำที่สูง ความควรไม่ควร ไม่ใช่เล่นเพียงเพื่อให้สนุกเท่านั้น กาลเทศะ บุคคล และสถานที่ก็สำคัญไม่น้อย ต้องมีสติบ้าง เมื่อจะทำอะไรเล่นอะไร
แต่การที่ผู้ใหญ่ เมื่อถูกผู้น้อยล่วงเกิน ด้วยความไม่ตั้งใจ หรือด้วยความไม่รู้ที่ต่ำที่สูง สามารถอดกลั้น ให้อภัยไม่ถือโทษได้ ย่อมแสดงถึงความหนักแน่นแห่งจิตใจ และความใจกว้าง
ซึ่งอันนั้นจะกลายเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้คนที่เกี่ยวข้อง หรือได้ยินได้ฟังเกิดความประทับใจ ยกย่องเชิดชู ยอมรับ และยอมเป็นพวกด้วยความสมัครใจ ในที่สุดหากรักษาอาการนี้ไว้ได้ตลอดก็จะเป็นที่รักและยำเกรงของเขาตลอดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น