อสทิสทาน

สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปไปประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี 

พระราชาปเสนทิโกศลทรงทราบข่าว จึงมีรับสั่งให้จัดเตรียมอาคันตุกทาน ถวายแก่พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ทั้งหมด และให้ประกาศให้ประชาชนมาดูทานของพระองค์

ภาพประกอบบทความ พระพุทธเจ้า

ชาวเมืองเห็นทานของพระราชาเข้า ก็เกิดศรัทธา ต้องการถวายบ้าง  จึงนิมนต์พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ทั้งหมดรับทานของพวกตนบ้าง 

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว จึงต่างก็ไปจัดเตรียมกันเป็นการใหญ่และจัดได้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาอีก 

พระราชาเสด็จมาดูทานของชาวเมือง แล้วก็นิมนต์พระพุทธเจ้ารับทานของพระองค์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อมิให้น้อยหน้าชาวเมือง โดยรับสั่งให้จัดอย่างใหญ่โตกว่าหลายเท่า

คราวนั้นจึงกลายเป็นว่าพระราชากับชาวเมืองต่างก็จัดทานถวายแข่งขันกันอย่างเข้มข้น 

แต่เนื่องจากว่าชาวเมืองมีจำนวนคนมากกว่าและไปหาของแปลก ๆ มาจัดจึงจัดได้ดีกว่าพระราชา

พระราชาจึงทรงน้อยพระทัยว่า จัดของถวายพระสู้ชาวเมืองไม่ได้ ถึงกับไม่เสด็จออกมาสู้หน้าชาวเมือง ร้อนถึงพระนางมัลลิกาพระมเหสี

ทูลรับอาสาจัดทานสู้กับชาวเมือง “ถ้าเธอสามารถ ก็จัดการไปตามที่เห็นสมควรเถิด เงินทองส่วนของเรามีเท่าไรก็จัดไป” ท้าวเธอทรงอนุญาต

ภาพประกอบบทความ ชาวเมือง

พระนางมัลลิกาทูลรับพระราชกระแสแล้วก็จัดการอย่างยิ่งใหญ่โดยให้สร้างมณฑปไม้ตะเคียน รูปทรงกลมขนาดใหญ่ สำหรับพระสงฆ์นั่งได้ ๕๐๐ รูป 

ให้จัดทำเศวตฉัตรไว้ ๕๐๐ เตรียมช้างหนุ่มที่ฝึกดีแล้วจำนวน ๕๐๐ สำหรับมายืนยกเศวตฉัตรข้างหลังพระสงฆ์ทุกรูป 

ให้จัดขัตติยนารีชุดหนึ่งไว้ทำหน้าที่ยืนพัดทุก ๆ ระหว่างพระสงฆ์ ๒ รูป และอีกชุดหนึ่งไว้ทำหน้าที่นั่งบดของหอมทุกๆ ระหว่างพระสงฆ์ ๒ รูป เพื่อให้กลิ่นหอม 

ให้สร้างเรือเล็กบุด้วยทองคำ ๘-๑๐ ลำตั้งไว้กลางมณฑป ให้จัดขัตติยนารีชุดหนึ่งไว้ทำหน้าที่นำของหอมที่บดแล้วมาเทลงในเรือ 

และอีกชุดหนึ่งทำหน้าที่คนของหอมที่เทลงในเรือให้ฟุ้งขึ้นด้วยกำดอกบัวเขียวเพื่อให้มณฑปอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องหอม 

สำหรับของถวายพระไม่ว่าอาหารหรือผ้าจีวรนั้นได้สั่งให้จัดอย่างพิเศษอันเป็นฝีมือชาววังทั้งสิ้น เมื่อจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำความกราบบังคมทูลให้ทรงทราบแล้ว

สรุปท้ายว่า “หม่อมฉันจัดอย่างนี้ เพื่อให้พระองค์สบายพระทัย มิต้องทรงกังวลอีกว่า ชาวเมืองเขาจะมาจัดแข่งกับพระองค์อีกได้ เพราะชาวเมืองไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีขัตติยนารี ไม่มีช้าง ขอทรงวางพระทัยเถิด  ทานเช่นนี้จักไม่มีใครจัดได้อีกแล้ว”

พระราชาทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง และมีรับสั่งให้ประกาศให้ชาวเมืองมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วย

เมื่อถึงวันกำหนดถวายทานอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้น ผู้คนต่างก็หลั่งไหลมาจากทุกทิศเพื่อมาดูความอลังการของทาน 

เมื่อเห็นแล้วต่างก็ตะลึงในความยิ่งใหญ่ และอลังการซึ่งจัดทำด้วยความละเอียดประณีตทุกขั้นตอน และต่างก็คิดว่าทานเช่นนี้ จัดไม่เหมือนใครและไม่มีใครจัดได้เหมือน 


ดังนั้นทานของพระราชาครั้งนั้นจึงได้รับการขนานนามว่า “อสทิสทาน” หมายถึงทานที่ไม่เหมือนใคร หรือทานที่ไม่มีใครเหมือน พระพุทธเจ้าเสด็จพร้อมด้วยพระสงฆ์ เข้าไปประทับภายในมณฑปทรงกลม

พระราชาเสด็จพร้อมด้วยพระมเหสี และพระประยูรญาติ มาประทับในพลับพลาที่สร้างไว้ข้างมณฑป มุขอำมาตย์ข้าราชบริพาร ก็นั่งประจำที่ในปะรำถัด ๆ ไป 

ส่วนประชาชนก็นั่งบ้างยืนบ้างรายล้อมมณฑปนั้น และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มพิธีถวาย 

ในหมู่ข้าราชบริพารนั้นมีอำมาตย์ผู้ใหญ่อยู่ ๒ ท่านคืออำมาตย์ชุณหะกับอำมาตย์กาฬะ ทั้งสองท่านนี้เมื่อเห็นอสทิสทานแล้วต่างก็มีความรู้สึกลึก ๆ ในใจ แตกต่างกันสิ้นเชิง 

คืออำมาตย์ชุณหะคิดว่า “อู้ฮู้ ทานของพระเจ้าอยู่หัว ทานเช่นนี้ต้องเป็นพระราชาเท่านั้นจึงจะทำได้ ถ้าไม่ใช่พระราชาจะไม่อาจทำได้เลย และเมื่อทำแล้ว ที่จะไม่แบ่งส่วนบุญให้แก่คนอื่นนั้นเป็นไม่มี เราขออนุโมทนาบุญของพระเจ้าอยู่หัวด้วย” คิดแล้วก็ยกมือขึ้นสาธุอนุโมทนา

ส่วนอำมาตย์กาฬะกลับคิดว่า “เสื่อม เสื่อมแน่ราชสกุล ทรัพย์ตั้ง ๑๔ โกฏิวายวอดไปเพียงชั่ววันเดียวเท่านั้น คนพวกนี้มาบริโภคทานแล้วก็กลับไปนอนกัน ฉิบหายแน่แล้วราชสกุลคราวนี้”

เมื่อทำพิธีถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระราชาทรงปลื้มปีติเป็นที่ยิ่ง ตั้งพระทัยรับพรจากพระเต็มที่ ด้วยทรงคิดว่าพระพุทธเจ้าคงจะพระราชทานพรเป็นพิเศษสำหรับทานพิเศษครั้งนี้ 

แต่พระพุทธองค์กลับทรงให้พรสั้นๆ แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับ

ภาพประกอบบทความ แสดงธรรม

ทำให้พระราชาทรงน้อยพระทัย และทรงผิดหวังมากต่อมาอีกไม่กี่วัน ความน้อยพระทัยยังไม่หาย จึงเสด็จไปที่วัดทรงต่อว่าพระพุทธเจ้า และกราบทูลถามถึงสาเหตุ ที่ทรงอนุโมทนาทานน้อย 

พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าถึง ความคิดของอำมาตย์ทั้งสองให้ทรงทราบ แล้วตรัสว่าไม่ต้องการให้อำมาตย์กาฬะ ต้องอกแตกตายในขณะนั้นเพราะทนไม่ได้ที่จะได้ยิน อานิสงส์พิเศษของทานวิเศษในวันนั้น และจะต้องตกนรกด้วยอกุศลจิตคิดไม่ดีต่อทาน 

พระราชาทรงทราบเรื่อง จึงรับสั่งให้หาอำมาตย์ทั้งสองมาเฝ้าด่วน ทรงรับสั่งถามอำมาตย์กาฬะก่อน เมื่อเขารับเป็นสัตย์ว่าคิดเช่นนั้นจริง จึงตรัสว่า.. 

“การที่เราถวายทานพิเศษอย่างนั้น ท่านจะเดือดร้อนอะไรด้วย ราชสำนักจะฉิบหายอย่างไรกัน เพราะทุกอย่างจัดทำถวายด้วยทรัพย์ ที่เป็นส่วนตัวของเรากับพระมเหสีทั้งสิ้น เอาเถอะทรัพย์สินอันใดที่เราให้ท่านไปแล้วก็เป็นให้ไป ไม่ขอคืน แต่ท่านต้องออกไปจากแคว้นของเรา”

ทรงรับสั่งให้เนรเทศอำมาตย์กาฬะไปแล้วตรัสถามอำมาตย์ชุณหะ เมื่ออำมาตย์กราบทูลถึงความคิดของตน ในขณะนั้นให้ทรงทราบ ทรงพอพระทัยมาก ทรงรับสั่งว่า ..

“ท่านลุง ข้าพเจ้าขอขอบคุณ ท่านเป็นคนใจกว้าง จึงขอตอบแทนท่านด้วยราชสมบัติ ขอให้ท่านครองราชย์สมบัติแล้วถวายอสทิสทานเช่นนี้ตามความปรารถนาได้ ๗ วัน”

หลังจากนั้นได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดูการกระทำของคนพาลเถิด เมื่อหม่อมฉันถวายทานอยู่อย่างนี้ กลับมาทุบตีบุญให้ชอกช้ำเสียนี่”

“เป็นอย่างนี้แหละมหาบพิตร พวกคนพาลมักไม่ชื่นชมยินดีการที่เขาให้ทานกัน จึงมีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า คนตระหนี่ไปสู่เทวโลกไม่ได้  ส่วนคนฉลาดนิยมอนุโมทนาทานของคนอื่นกัน จึงมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า และมีความสุขอยู่ในโลกหน้า”

พระพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรม แล้วตรัสอนุโมทนาอสทิสทาน ของพระราชา ด้วยพระภาษิตอันไพเราะจับใจยืดยาว เป็นเหตุให้พระราชาทรงปีติเป็นล้นพ้น ทรงหายน้อยพระทัยเป็นปลิดทิ้ง และทรงดื่มด่ำอยู่กับอานิสงส์ของอสทิสทานครั้งนั้นตลอดมา.

ภาพประกอบบทความ ผู้ยินดีในการให้

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..

คนที่ยินดีในการให้นั้น ย่อมไม่อิ่มในการให้ในการทำบุญ และไม่ตระหนี่ไม่เสียดายที่จะต้องให้ ที่จะต้องทำบุญ 

เพราะให้แล้วทำแล้วมีความสุข มีความอิ่มใจ ให้แล้วก็อยากให้อีก ทำบุญแล้วก็อยากทำอีก จึงอิ่มแล้วอิ่มอีก 

ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้นแก่คนตระหนี่ คนตระหนี่จะรู้สึกเสียดายเมื่อต้องให้หรือต้องทำบุญ และจะรู้สึกเดือดร้อนเสียดาย เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำบุญทำทานกัน 

มักเกิดอกุศลจิตทำให้ใจเศร้าหมองโดยใช่เหตุ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกะตัวเอง และตัวเองก็ไม่ได้เสียอะไรเลย แต่ไปหาความรู้สึกเช่นนั้นมาใส่ตัวเอง 

ส่วนคนฉลาดนั้น สามารถเก็บเกี่ยว และตักตวงบุญใส่ตัว โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียอะไรเลยก็ได้ 

โดยเมื่อเห็นเขาทำบุญทำทานกัน ก็เพียงแค่สร้างความรู้สึกชื่นชมยินดี และอนุโมทนาบุญของเขา แล้วยกมือขึ้นสาธุเท่านั้น บุญของคนอื่นก็ไหลมาหาตนทำให้อิ่มใจไปด้วยกะเขาแล้ว 

แต่ความรู้สึกและกิริยาเช่นนี้ คนพาลคนตระหนี่ทำได้ยาก เพราะใจมันแคบและมือมันหนัก จึงพลาดบุญไปอย่างน่าเสียดาย.


กิร ดังได้สดับมา

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

ภาพจาก dmc.tv.

ความคิดเห็น

  1. ปลื้ม ปลื้ม ปลื้ม สาธุ ขอกราบนมัสการและขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ

    ตอบลบ
  2. ปลื้ม....ไม่จบ สาธุ สาธุ สาธุ...

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น