สามีภรรยาคู่หนึ่ง ทำไร่อยู่ในชนบท มีฐานะยากจน มีรายได้พอประทังชีวิตของตน และลูกชายอีกคนหนึ่ง
เมื่อลูกโตแล้ว ก็พาไปเข้าโรงเรียนในหมู่บ้าน ซึ่งห่างออกไป ทั้งสองคนผลัดกันไปรับไปส่งลูก ที่โรงเรียน จนจบประถมปีที่ ๔
เมื่อจบแล้วก็ช่วยพ่อแม่ทำไร่ จนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม
![]() |
ภาพประกอบบทความ เลี้ยงดูลูก |
เนื่องจากเป็นลูกคนเดียว และพ่อแม่ตามใจมาแต่เล็ก ๆ เขาจึงเริ่มออกเที่ยวเตร่ คบเพื่อนต่างถิ่น และเกียจคร้าน ไม่ช่วยพ่อแม่ทำงานต่อไป
มีแต่แบมือขอเงินจากพ่อแม่ ซึ่งก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไม่กล้าดุด่าว่ากล่าวด้วยความรักลูก
ต่อมาพ่อป่วยเป็นโรคลำไส้และถึงแก่ความตายในที่สุด ปล่อยให้ภรรยาและลูกชาย เผชิญชะตากรรมกันตามลำพัง ผู้เป็นแม่ก็อดทนทำงานเลี้ยงลูกต่อไป
ฝ่ายลูกก็ยังไม่รู้สำนึกรับผิดชอบอีก ยังเที่ยวเตร่เหมือนเดิม เนื่องจากเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี จึงไปได้ลูกสาวของผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่างตำบลเป็นภรรยา และไปอยู่ที่บ้านภรรยา
แม่จึงต้องอยู่ลำพังผู้เดียว เขาอยู่ที่บ้านภรรยาแสนสุขสบาย เพราะมีคนรับใช้ และภรรยาเอาใจเก่ง จึงลืมหญิงอีกคนหนึ่ง คือแม่ที่ลำบากอยู่ตามลำพัง เขาไม่เคยไปเยี่ยมเยียนแม่เลยนับเดือนนับปี
ไม่นานแม่เกิดป่วยลง จึงต้องใช้เงินที่เก็บออมไว้รักษาโรค จนกระทั่งไม่มีเหลือ คิดถึงลูกจึงบากหน้าไปหา เพื่อให้ลูกรับมาอยู่ด้วย
![]() |
ภาพประกอบบทความ พ่อแม่ที่ชราวัย |
แต่แทนที่จะดีใจที่แม่มาหา เขากลับแสดงกิริยารังเกียจไม่สนใจ ผู้เป็นแม่ก็ต้องทนกล้ำกลืนความน้อยใจไว้ในอก เมื่ออาศัยไม่ได้จึงออกปากขอยืมเงินลูก มาก้อนหนึ่งเพื่อรักษาตัว
ผู้เป็นลูกแทนที่จะยกให้แม่เลย กลับขอให้แม่ทำสัญญาว่าเมื่อมีแล้วจะคืนให้ แม่ก็ต้องจำใจทำสัญญาไว้กับลูก ได้เงินแล้วก็กลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน
แต่รักษาจนเงินที่ยืมลูกมาหมดอีก คราวนี้ต้องนำที่ไร่ไปขายเพื่อนบ้านเอาเงินมารักษาตัวต่อ
ฝ่ายลูกชายพอรู้ข่าวว่าแม่มีเงิน จากการขายที่ ก็รีบมาทวงเงินจากแม่ แม่พอเห็นลูกมาทวงเงิน ถึงกับน้ำตาร่วง คิดไม่ถึงว่าลูกจะทำอย่างนี้ได้ลงคอ
จึงบอกลูกไปว่าเงินยังไม่มีจะคืนให้ ที่มีอยู่ก็จะเก็บไว้รักษาตัว ลูกชายจึงกลับไปด้วยความผิดหวัง อีก ๓ – ๔ วันก็กลับมาทวงอีก แม่ก็บอกเหมือนเดิม อีกสัปดาห์หนึ่งก็โผล่หน้ามาอีก
พร้อมทั้งบอกแม่ว่า “แม่อย่าโกงก็แล้วกัน ถ้าแม่โกงไม่ยอมใช้คืน จะไปฟ้องร้องกับกำนัน”
ความเสียใจผสมกับความสะเทือนใจ ทำให้แม่อดใจไม่ไหวจึงพูดไปว่า “ข้าไม่มีเงินแล้วตอนนี้ และข้าก็จะไม่ใช้เอ็งด้วย เอ็งจะไปฟ้องร้องหรือเอาข้าไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหนก็ตามใจเถอะ”
แม่พูดถึงขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก ออกจากบ้านแม่ได้ ก็รีบไปที่บ้านกำนัน ฟ้องร้องว่าแม่โกงเงินพร้อมทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
กำนันได้ยินดังนั้นก็นึกด่าในใจ ว่าลูกจัญไรพรรค์นี้ก็มีด้วย แต่เพราะเป็นกำนันจึงรับจะจัดการให้ โดยขอใช้เงินแทนแม่เขาเอง
แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องผูกถุงไว้ที่เอวด้านหน้า แล้วมาหาตนทุกเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน เมื่อมาแล้วตนจะใส่ก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่มือลงในถุงวันละ ๑ ก้อน
เป็นการนับจำนวนวันที่มา และข้อแม้สำคัญคือต้องผูกถุงกับเอวไว้ตลอด ไม่ว่าเวลานอน เวลาเข้าห้องน้ำ เวลาอาบน้ำ ห้ามแก้ออกเป็นอันขาด
ถ้ารู้เมื่อไรว่าเขาแก้ถุงออก ก็จะไม่ได้เงินเลยเพราะถือว่าผิดสัญญา เขาก็รับปากแข็งขัน เพราะอยากได้เงิน เลยไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่น
ว่าแล้วกำนันก็ผูกถุงเล็ก ๆ ใบหนึ่งไว้ที่เอวด้านหน้าของเขาและใส่ก้อนหินลงไปก้อนหนึ่งเป็นประเดิม
เขาคิดว่าเงื่อนไขแค่นี้ เป็นเรื่องเล็กทำได้แน่นอน จึงกลับบ้านด้วยความสบายใจ
เขาปฏิบัติตามสัญญาได้ ๕ – ๖ วันก็เริ่มอึดอัด เพราะถุงที่ผูกไว้ทำให้รำคาญและไม่สะดวกโดยเฉพาะเวลาเข้าห้องน้ำ เวลาอาบน้ำแม้ในเวลานอน ก็มีถุงทับอยู่หน้าท้องตลอดเวลา
เขาอดทนได้๑๕ วันเท่านั้น ในวันนั้นเองความอดทนก็สิ้นสุด เขากลับไปหากำนันอีกในตอนเย็น ขอให้กำนันเอาถุงออก กำนันก็บอกว่าเมื่อเอาถุงออก เงินก็จะไม่ได้
เขาจึงบอกว่าไม่อยากได้เงินแล้ว เขาทนความรำคาญและความไม่สะดวกไม่ไหวแล้ว กำนันจึงแก้ถุงออกแล้วพูดว่า..
![]() |
ภาพประกอบบทความ คนที่อุ้มท้องเรามา |
“เอ็งมีถุงก้อนหินผูกถ่วงไว้ที่หน้าท้องอยู่แค่ ๑๕ วันเท่านั้นเอ็งยังบอกว่ารำคาญจนทนไม่ไหว ทีตอนเอ็งอยู่ในท้องแม่ของเอ็ง ทำไมแม่เอ็งทนได้
เอ็งโตขึ้นทุกวัน แกก็ต้องอุ้มเอ็งหนักขึ้นทุกวัน ไม่เห็นแกบ่นรำคาญหรือไม่สะดวกสบายอะไร แกทนได้ตั้ง ๙ เดือน
จึงคลอดเอ็งออกมา เอ็งเกิดมาแล้วแกก็ยังต้องเลี้ยงดูเอ็งมาด้วยความยากลำบาก สิ้นเงินทอง สิ้นแรง และสิ้นเวลาอีกนับเป็นสิบปี
ทั้งส่งเสียให้เอ็งเรียนหนังสือ ตามรับตามส่งอยู่อีกหลายปี แกไม่เคยคิดว่าสิ้นเปลือง หรือเป็นบุญคุณอะไรกะเอ็งเลย
เอ็งเสียอีกแค่แกยืมเงินเท่านี้ เอ็งกลับจะเอาเป็นเอาตายกะแกทีเดียว เงินที่แม่เอ็งยืมไปน่ะไม่เท่าค่าราคาที่แกเลี้ยงดูเอ็งเพียงปีเดียวด้วยซ้ำไป เอ็งจะเอาอะไรจากแกอีก แกแก่แล้ว อย่าไปรบกวนแกเลย ถ้าอยากจะได้จริงๆ ข้าจะใช้ให้”
กำนันว่าไปเรื่อย ๆ จนเขาลุกจากไปโดยไม่ร่ำลา และได้ทราบในภายหลังว่าเขาวิ่งไปหาแม่ ไปขอโทษแม่ และพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านภรรยา
เป็นอันจบลงด้วยความสุขทุกฝ่ายเพราะอุบายอันลึกล้ำของกำนัน.
![]() |
ภาพประกอบบทความ ลูกกตัญญู |
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า ..
พระคุณและความดีของพ่อแม่นั้น ลูกที่มีความคิดมีจิตสำนึกที่ดีเท่านั้นจึงจะรู้ได้ เขาจึงเรียกลูกเช่นนี้ว่าลูกกตัญญู
ซึ่งหมายถึงลูกที่รู้จักพระคุณพ่อแม่ รู้ว่าพ่อแม่เคยทำอะไรให้แก่ตนมาบ้าง และรู้ว่าตัวเองจะต้องตอบแทนพระคุณนั้นอย่างไรบ้าง
แล้วเห็นใจพ่อแม่ เลี้ยงพ่อแม่ ประพฤติตัวดีทำให้พ่อแม่สบายใจ ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังช้ำใจ
ส่วนลูกที่ไม่รู้ ไม่ได้คิด หรือไม่เคยคิดเช่นนี้ ไม่เคยมีจิตสำนึกที่ดีเช่นนั้นต่อพ่อแม่ ลูกเช่นนี้เขาเรียกว่าลูกอกตัญญู ลูกอกตัญญูนั้นชาวโลกทั่วไปเขาประณามอยู่แล้วว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนใช้ไม่ได้
แต่ยังมีลูกอีกประเภทหนึ่งที่เลวมากกว่านั้นคือลูกเนรคุณ ได้แก่ลูกที่ทำร้ายพ่อแม่ ทุบตีด่าว่าพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจ หรือพูดจาให้พ่อแม่ช้ำใจว่าไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นต้น
ความเป็นลูกอกตัญญู และเป็นลูกเนรคุณนั้น ลูกที่ดีเขาไม่ทำกัน ลูกที่ไม่ดีลูกที่เลวเท่านั้นจึงจะทำแบบนั้นได้ และลูกไม่ดีเช่นนั้นย่อมเป็นคนไม่น่าคบหา ไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าเลือกมาเป็นคู่ครอง
ใครหูหนวกตาบอดไปเลือกคบหา ไปเลือกมาเป็นคู่ครองเข้าก็มีแต่จะลำบากใจในภายหลังแน่นอน.
จากหนังสือ กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com, เพจพระนพดล
สาธุ ขอกราบนมัสการและขอกราบอนุโมทนาบุญ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ