คุณนายคนหนึ่งมีฐานะดี เป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญตักบาตร และสนทนากับพระ บางวันหลังจากตักบาตรแล้ว ก็จัดอาหารใส่ปิ่นโตหิ้วไปถวายสมเด็จฯ ที่วัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านนัก
รอจนกระทั่งท่านฉันเสร็จแล้ว ก็อยู่สนทนาธรรมกับท่านตามสมควร แล้วก็กลับ ทำอยู่เช่นนี้ จนเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของพระเณรในวัด
มาวันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระอุปัฏฐากได้กราบเรียนเล่าถวายสมเด็จฯว่า แม่ของคุณนายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่
แต่คุณนายให้ย้ายไปอยู่ห้องคนใช้หลังตึกใหญ่ ส่วนตัวเองกับลูกอยู่บนตึกใหญ่ ซึ่งก็เป็นของแม่ตัวเองอย่างสุขสบาย อาจอายเพื่อนฝูงที่มาพบปะกันประจำ ว่ามีคนแก่อยู่ในบ้าน ทำให้ดูเกะกะก็ได้
![]() |
ภาพประกอบบทความ คนแก่ |
ที่สำคัญคือไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลแม่เท่าที่ควร ปล่อยให้คนใช้ดูแลตามยถากรรม อด ๆ อยาก ๆ เวลาไปหาแม่ก็พูดจาไม่เพราะ ชอบกระแนะกระแหน แช่งด่าให้ตายวันตายพรุ่ง ผิดกับที่พูดตอนมาวัดซึ่งพูดจาอ่อนหวานเจ้าคะเจ้าขา
คุณนายดูเผิน ๆ เป็นคนใจบุญ แต่ที่บ้านเป็นอย่างนี้ เมื่อพระเล่าจบสมเด็จฯก็นิ่ง ไม่พูดจาต่อความอะไร
วันหนึ่งสมเด็จฯ ไปธุระนอกวัด ขากลับต้องผ่านบ้านคุณนายพอดี ทราบว่าคุณนายพร้อมลูก ๆ อยู่บ้านจึงแวะเข้าไปเพื่อเยี่ยมเยียน
คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาเยี่ยมถึงบ้านถือว่าเป็นมงคล กุลีกุจอต้อนรับ พร้อมบอกลูก ๆ ให้มากราบเพื่อขอพร หลังจากไต่ถามสุขทุกข์ตามธรรมเนียมการเยี่ยมแล้ว สมเด็จฯ จึงถามคุณนายว่า “พระในบ้านของโยมมีบ้างไหม”
คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบทันทีว่า “มีเจ้าค่ะ ที่บ้านมีห้องพระอยู่ข้างบน มีพระเก่า ๆ หลายองค์ นิมนต์ขึ้นไปดูก็ได้เจ้าค่ะ”
สมเด็จฯ คิดว่าคุณนายยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ จึงยิงคำถามตรง ๆ ว่า “คุณแม่ของคุณนายอยู่ไหม อยากจะเยี่ยมท่านสักหน่อย”
คุณนายถึงกับเสียวแปลบไปถึงหัวใจ จะตอบไปตามตรงว่าแม่อยู่หลังบ้าน ก็กลัวท่านจะเดินไปดู และจะตำหนิตนเมื่อเห็นสภาพของแม่ จึงอึกอักพูดหน้าตาเฉยว่าแม่ไม่อยู่
สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อความอีก เพราะรู้ความจริงชัดเจนแล้วว่าอะไรเป็นอะไรจึงลากลับวัด ทำให้คุณนายโล่งอกไปเป็นกอง
![]() |
ภาพประกอบทบความ เข้าวัดทำบุญ |
หลายวันต่อมาคุณนายนำอาหารไปถวายสมเด็จฯ ที่วัดแต่เช้า เพื่อกราบขอบพระคุณที่ไปเยี่ยมถึงบ้าน สมเด็จฯ ก็เลยถามว่า “พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ”
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ก่อนจะมานี่ ได้ตักบาตรพระหน้าบ้าน และนำอาหารไปไหว้ที่ห้องพระเรียบร้อย” คุณนายตอบด้วยความเข้าใจผิดเช่นเดิม
“อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปในห้องพระ แต่หมายถึงพระที่มีลมหายใจ คือแม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ” สมเด็จฯ พูดเอาจริงเอาจังคุณนายใจฝ่อนิ่งเป็นรูปปั้น เมื่อสมเด็จฯ พูดถึงแม่
สมเด็จฯ จึงพูดไปเรื่อยๆ “คนเราน่ะมีพระที่มีลมหายใจอยู่ในบ้านกันทุกคน คือมีพ่อมีแม่ บางคนเหลือองค์เดียว บางคนเหลือสององค์ ช่างโชคดีที่เหลือให้บูชาในบ้าน
ใครเหลือพระกี่องค์ก็ดูแลท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้อด ๆ อยาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรก็ดูแลรักษากันไป ท่านแก่แล้ว จะกินจะใช้หมดเปลืองไปสักเท่าไรเชียว”
สมเด็จฯ เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ “คุณนายก็เหมือนกัน ขอโทษนะที่ต้องพูดความจริง ทราบว่ามีแม่อยู่ในบ้านด้วย แต่โยมไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของท่าน ปล่อยให้ท่านอยู่ในห้องแคบ ๆ อับทึบ ที่หลังบ้าน
ทั้งที่ท่านเป็นเจ้าของบ้าน และที่ดินที่โยมและลูกอยู่กัน โยมอยู่สบายแต่แม่อยู่ลำบาก ไม่สงสารท่านบ้างหรือ และโยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน
แต่พระในบ้านคือแม่ โยมไม่เคยจัดอาหารให้ แม้ที่โยมจัดหามาถวายอาตมานี่ ก็จัดอย่างดี ทั้ง ๆ ที่อาตมาเป็นพระนอกบ้านของโยม อาหารอย่างนี้ น่าจะถวายพระในบ้านก่อนเสียด้วยซ้ำไป”
สมเด็จฯ หยุดอีกนิดหนึ่ง เห็นคุณนายก้มหน้างุดอยู่ จึงกล่าวสรุปว่า “อาตมาขอโทษด้วยที่พูดแรงไป เพราะอาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่ เพราะสงสารเห็นใจแม่ของโยม และตัวโยมด้วย
ต่อไปลูกหลานของโยม ก็จะทำอย่างนี้กับโยมเหมือนกัน เพราะเขาได้เห็นตัวอย่างจากโยม ที่พูดมานี่โยมจะโกรธเคืองอาตมาอย่างไร ก็ตามใจเถอะ”
เมื่อสมเด็จฯ พูดจบ น้ำตาคุณนายไหลรินอาบแก้ม สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯ โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ จะโกรธหรือน้อยใจสมเด็จฯ ก็ไม่ทราบได้
แต่หลังจากนั้นสมเด็จฯ ก็ได้ทราบข่าวว่า คุณนายได้ย้ายแม่เข้ามาอยู่ที่ตึกใหญ่ ดูแลปรนนิบัติด้วยตัวเอง เมื่อไม่อยู่ก็กำชับคนรับใช้หรือลูก ๆ ให้ดูแลท่านอย่างดี
นับแต่นั้นมา พระในบ้านของคุณนาย ก็ได้อยู่สุขสบาย โดยอาศัยพระในวัดไปโปรด.
![]() |
ภาพประกอบบทความ พ่อแม่คือพระในบ้าน |
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
พ่อแม่เป็นพระในบ้าน เป็นทั้งพระพรหม เป็นพระอรหันต์ เป็นพระเทพคือเทวดาของลูก ทั้งเป็นพระประจำวันเกิดครบทุกวันทุกปาง หน้าที่ของลูกที่จะพึงปฏิบัติต่อพระในบ้านคือปรนนิบัติ ดูแล เอาใจใส่ ให้ข้าวให้น้ำ รักษายามเจ็บป่วย
ถนอมน้ำใจมิให้ชอกช้ำผิดหวัง และที่สำคัญคือมิควรให้ท่านน้ำตาตกเพราะความผิดหวังในเราผู้เป็นลูก บางครั้งเราเที่ยวหาพระนอกบ้านมาบูชาในบ้าน แต่ลืมบูชาพระในบ้าน
เราไปทำบุญกับพระในวัด แต่ปล่อยให้พระในบ้านหิวโหย เราสร้างห้องพระไว้ในบ้านอย่างดี แต่ให้พระในบ้านอยู่ห้องที่แคบและอับทึบ
เรากินใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย แต่กับพระในบ้านเรากลับตระหนี่เสียดาย ทั้งที่บางทีเงินทองที่เรากินเราใช้นั้นก็เป็นของท่าน ท่านหาเก็บหอมรอมริบให้เราแท้ ๆ
หรือแม้ว่าเราจะหามาได้เอง แต่เราก็ได้อาศัยต้นทุนและเครื่องมือที่พระในบ้านให้มา คืออาศัยมันสมอง สองมือ สองเท้า และหูตาที่กำเนิดมาจากท่าน
และท่านเฝ้าถนอมฟูมฟักมาอย่างดีนับเป็นสิบปียี่สิบปี ถ้าไม่มีต้นทุนและเครื่องมือที่ท่านให้กำเนิดมา เรามีปัญญาหาเงินทองได้เองหรือ แม้จะมีแขนเทียมขาเทียม ก็สู้แขนขาที่ได้มาจากพระในบ้านได้หรือ รู้ได้แค่นี้ สำนึกได้แค่นี้ก็เป็นลูกกตัญญูในระดับหนึ่งแล้ว.
กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com, pexels.com
กราบแทบเท้าพระธรรมกิตติวงศ์ ที่นำเรื่องอันทรงคุณค่ามาบบรรยายให้เข้าใจอย่างซาบซึ้ง สาธุ
ตอบลบ⭐️🌷🙏กราบสาธุ สาธุ สาธุเจ้าค่ะ 🙏🌷⭐️
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ