หลายสิบปีมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งทำมาหากินด้วยการค้าขาย มีฐานะค่อนข้างดี ประกอบด้วยสมาชิกในครอบครัว ๔ คน คือพ่อลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานปู่
เดิมทีกิจการนั้น ผู้เป็นพ่อได้ก่อร่างสร้างขึ้นมาเอง ร่วมกับภรรยา แต่เมื่อภรรยาสิ้นชีวิตไป และประจวบกับตนเองมีอายุมากขึ้น อยากจะพักผ่อน จึงมอบกิจการทั้งหมดให้กับลูกชาย กิจการก็ผ่านไปด้วยดี จนลูกชายมีบุตรคนหนึ่ง
เวลาผ่านไป ผู้เป็นพ่อเริ่มชรามาก เดินเหินงก ๆ เงิ่น ๆ ชนโน่นล้มชนนี่แตก เวลาทานข้าวบนโต๊ะอาหารด้วยกัน ก็ทำน้ำหกบ้าง ทานหกเลอะเทอะบ้าง ทำข้าวของแตกบ้าง
![]() |
ภาพประกอบบทความ ชราวัย |
บ่อยครั้งเข้าสะใภ้ก็เริ่มบ่น และบอกสามีให้ช่วยเตือนพ่อ ลูกชายก็เตือนพ่อให้ระวังของจะเสียหาย ชายชราเริ่มอึดอัดใจ แต่ไม่อาจบังคับสังขารได้
เมื่อภรรยาบ่นมากเข้า ลูกชายก็หาทางออก โดยให้บิดาไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กในสวนหลังบ้าน แล้วให้คนนำอาหารไปส่ง หากวันใดว่างก็นำไปเอง เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายลง
แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ลูกชายและภรรยาก็เริ่มทนไม่ได้อีก เพราะผู้เป็นพ่อยังทำถ้วยจานแตกบิ่นเหมือนเดิม จึงต้องหาวิธีแก้ไข คือใช้กะลามะพร้าวที่ขัดถูจนเกลี้ยง ใส่อาหารแทนถ้วย และจาน
ใช้กระป๋องนมเปล่าใส่น้ำแทนแก้ว แล้วใส่สำรับยกไปให้พ่อ เมื่อทานเสร็จก็ยกกลับมาส่ง ตากแดดตากลมแห้งแล้วก็นำมาใช้ใหม่ ตกก็ไม่แตก ใช้ได้ทนดี
เหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีเสียงบ่นจากภรรยาอีก แต่ผู้เป็นพ่อได้แต่ทนกล้ำกลืนความระทมใจ เพราะไม่อาจบ่น หรือต่อว่าอะไรได้ ทั้งที่สมบัติต่าง ๆ เป็นของแกทั้งสิ้น
แต่ตอนนี้หากินเองไม่ได้ ต้องอาศัยลูกกิน เขาเอามาให้กินก็บุญโขแล้ว แกคิดอย่างนี้
นานหลายปี หลานชายเริ่มโตแล้ว เห็นพ่อแม่นำสำรับกะลาไปให้ปู่ทุกวัน บางวันก็วิ่งตามไปด้วย จึงถามพ่อด้วยความสงสัย “คุณพ่อครับ ทำไมคุณปู่ ไม่ได้กินข้าวกับพวกเราด้วยครับ”
ยอดคุณพ่อนิ่งไปพักหนึ่งคิดหาคำตอบ แล้วบอกลูกว่า “คุณปู่แก่แล้วลูก ทำอะไรช้า กินก็ช้า คนแก่จึงต้องอยู่ส่วนคนแก่ กินอยู่กับพวกเราไม่ได้หรอกลูก”
“แล้วทำไมต้องให้คุณปู่กินข้าวในกะลา ให้กินน้ำในกระป๋องด้วย จานและแก้วของเราก็มีเยอะแยะ ทำไมไม่เอามาให้คุณปู่เล่าครับ” เด็กน้อยถามด้วยความสงสัยตามประสา
![]() |
ภาพประกอบบทความ กะลาใส่ข้าว |
“เพราะคุณปู่เป็นคนแก่ไง คนแก่ชอบทำของแตก กะลาและกระป๋องมันไม่แตกง่าย เหมาะสำหรับคนแก่แล้วลูก คนแก่เขากินกันอย่างนี้แหละลูก”
คุณพ่อตอบฉาดฉานหลังจากตั้งหลักได้ ค่อยโล่งใจขึ้นเมื่อลูกชายนิ่งฟังอย่างตั้งใจ และไม่ได้ยิงคำถามที่ตอบยากเข้ามาอีก
และหลังจากนั้น ได้เห็นลูกชายวิ่งเข้าวิ่งออกที่บ้านคุณปู่ ในวันหยุดเรียนก็ยิ่งตายใจ ว่าคงไม่มีอะไรแล้ว ลูกชายคงเข้าใจแล้ว
ช่วงปิดเทอมวันหนึ่ง ผู้พ่อเกิดความสงสัยว่า ช่วงนี้ลูกชายชอบขลุกอยู่แต่ในห้อง ทำอะไรเสียงกุกกัก ๆ ตลอด จึงเข้าไปดู เห็นลูกชายกำลังขัดกะลามะพร้าวอยู่ อย่างขะมักเขม้น
ในตู้มีกะลามะพร้าวที่ขัดแล้วหลายใบ ที่มุมห้องมีกะลาที่ยังไม่ได้ขัด กับกระป๋องนม กองรวมกันอยู่ส่วนหนึ่ง จึงถามลูกชายว่า “นี่เอ็งจะเอากะลามะพร้าว ไปทำอะไรตั้งมากมาย”
![]() |
ภาพประกอบ คิดหนัก |
“ผมเตรียมไว้สำหรับคุณพ่อ กับคุณแม่ไงครับ” เขาตอบฉาดฉาน
“เวลาที่คุณพ่อคุณแม่แก่แล้วจะได้ใช้ ผมเลยเตรียมไว้เยอะ ๆ เพราะต้องใช้สองคน คุณพ่อสบายใจได้ กะลาผมขัดอย่างดี ประป๋องก็ไม่เป็นสนิม สะอาดกว่าที่คุณพ่อนำไปให้คุณปู่ใช้เสียอีก”
เมื่อได้ฟังคำตอบจากลูก ผู้พ่อถึงกับสะอึก ตาสว่างเหมือนได้เห็นธรรม ได้สติระลึกว่าสิ่งที่ตนทำลงไป และที่บอกลูกไปนั้นไม่ถูกต้อง มันผิด ทำให้ลูกเข้าใจผิดไปด้วย กรรมกำลังจะตามทันเราแล้ว
เขาจึงนำเรื่องนั้นไปบอกภรรยา แล้วตกลงกันว่าจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ถูกเช่นนั้นให้ลูกเห็นอีก นับแต่นั้นมาเขาได้นำสำรับกับข้าวไปเลี้ยงพ่ออย่างดีเหมือนเดิม จะแตกเสียหายอย่างไรก็ไม่ว่ากัน
ผู้เป็นปู่ก็เลยพลอยสบายกาย และสบายใจ ได้อานิสงส์จากความฉลาด และความไม่เดียงสาของหลานไปด้วย.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..
สิ่งที่พ่อแม่ทำหรือพูดไปนั้น ล้วนเป็นบทเรียนสำหรับลูกทั้งสิ้น เขาจะจดจำซึมซับไว้ในสมอง และความคิดไปเรื่อย ๆ เขาย่อมแยกแยะไม่ออกว่าที่พ่อแม่ทำ หรือพูดไปนั้นผิดถูก หรือควรไม่ควรอย่างไร
ต่อไปข้างหน้า เขาก็จะทำตามอย่างที่เขาเห็น เมื่อตัวเองหยาบคาย ลูกก็จะหยาบคายตาม เมื่อตัวเองชอบมั่วสุม ชอบสุรายาเมา ชอบเล่นการพนัน ลูกก็จะเรียนรู้ และทำเช่นนั้นเมื่อถึงเวลาและวัยถึง
เมื่อตัวเองทอดทิ้งพ่อแม่ ไม่ดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ ไม่ว่ายามดี หรือยามป่วยไข้ ลูกก็จะจดจำทำกับตนเอง เมื่อยามแก่ตัวลง หรือยามป่วยไข้ ลูกก็จะไม่สนใจ ไม่ดูแลปรนนิบัติ ปล่อยให้โหยหาว้าเหว่รอคอยอยู่ตามลำพัง
ลูกมักคิดว่าพ่อแม่คงทนได้ เพราะสมัยก่อนก็ปล่อยให้ปู่ย่าตายายเป็นเช่นนี้มาแล้ว ท่านจึงสอนกันมาว่า ถ้าอยากให้ลูกกตัญญู ต้องกตัญญูให้ลูกเห็น อยากให้ลูกเป็นคนดี ต้องเป็นคนดีให้ลูกเห็น ดังคำที่ว่า “อยากให้ลูกดี ต้องทำดีให้ลูกดู” นั้นถูกต้องที่สุดแล้ว.
กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay, pexels, เพจการบ้าน
สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบติดตามอ่าน ได้ข้อคิดที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ🙏🙏🙏
ตอบลบขอกราบนมัสการและขอกราบอนุโมทนาบุญ เนื้อเรื่องสอนธรรมะเรื่องความกตัญญูได้อย่างดียิ่ง ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ
ตอบลบ