ในอดีตกาลนานโพ้น มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้ามันธาตุราช พระองค์ทรงมีพลานุภาพมาก ทรงมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พระองค์เสด็จไปไหนมาไหน ได้ตามพระทัยปรารถนาคือจักรแก้ว
ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระนครนั้น เพียงแค่พระองค์ปรบพระหัตถ์เท่านั้น ฝนรัตนะคือแก้วแหวนเงินทอง และรัตนชาติอันมีค่ามากมาย ก็จะตกลงมาจากฟากฟ้าเป็นที่อัศจรรย์
พระองค์ทรงเสวยสุขอยู่กับรัตนชาติ ข้าราชบริพาร เหล่าสนมกำนัล และพระกระยาหารอันเลอเลิศ ที่จะพึงหาได้ในพื้นปฐพีนี้
และแล้ววันหนึ่ง พระองค์เกิดทรงเบื่อหน่ายความสุข ที่ทรงเสพเสวยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทรงต้องการหาความสุข และสมบัติที่ดีวิเศษยิ่งขึ้นไป
จึงทรงไต่ถามอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่ง อำมาตย์ผู้นั้นได้กราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ เท่าที่ได้ฟังมา สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกนั้นมีสมบัติทิพย์ที่น่าอภิรมย์ กว่าสมบัติมนุษย์มากมายหลายเท่านักพระพุทธเจ้าข้า”
ได้ทรงสดับเช่นนั้น ต่อมตัณหาของพระเจ้ามันธาตุราช เกิดกำเริบขึ้นทันที ทรงปรารถนาจะได้ลิ้มลองสมบัติทิพย์ดูบ้าง จึงทรงขว้างจักรทิพย์นำทางเหาะลิ่วไปยังสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกทันที
ท้าวมหาราช ๔ พระองค์ซึ่งครองสวรรค์ชั้นนั้นอยู่ก็นำเทพบริวารเสด็จมาต้อนรับ ทรงทราบความประสงค์แล้วจึงมอบสวรรค์ชั้นนั้นให้พระเจ้ามันธาตุราชครอบครองตามพระทัยชอบ
เพราะสมบัติทิพย์ตักตวงเท่าไรไม่มีพร่องอยู่แล้ว แม้จะมีผู้มาครองอีกองค์หนึ่งก็มิได้ทำให้อำนาจ และความสุขบนสวรรค์ของท้าวเธอทั้งสี่ลดลงไปแม้แต่น้อย
พระเจ้ามันธาตุราช จึงเป็นมนุษย์อัศจรรย์ ที่ได้ครองสวรรค์ร่วมกับเทวดา
พระองค์ทรงเสพเสวยกามสุข อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกมาได้ระยะหนึ่ง ก็ทรงเบื่อหน่ายความสุขซ้ำซากที่ทรงได้รับ ทรงปรารถนาความสุขที่ยิ่งขึ้นไปอีก
จึงตรัสถามท้าวจาตุมหาราชว่ามีที่ไหนที่น่าอภิรมย์มากกว่าที่นี่ท้าวจาตุมหาราชจึงตรัสบอกว่า “สวรรค์ชั้นนี้ยังเป็นรองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่มาก สวรรค์ชั้นนั้นเขาว่าน่าอภิรมย์ยิ่งนัก ทั้งมีเทพอัปสรมากมาย มีพระอินทร์ทรงปกครองเพียงพระองค์เดียว”
เพียงเท่านั้นก็ทำให้พระเจ้ามันธาตุราชเกิดตัณหาอยากจะครองดาวดึงส์สวรรค์ขึ้นมาทันใด จึงทรงอำลาเหล่าท้าวจาตุมหาราชแล้วขว้างจักรแก้วนำหน้าพาเหาะลิ่วไปยังเทวโลกชั้นนั้นในชั่วพริบตา
พระอินทร์ซึ่งเป็นใหญ่บนสวรรค์ชั้นนั้นก็เสด็จออกมาต้อนรับพระเจ้ามันธาตุราชทันทีเหมือนกัน
เมื่อทรงทราบพระประสงค์ จึงทรงมอบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ให้ครอบครองครึ่งหนึ่ง อันว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น จะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครอบครองต่อเนื่องกัน โดยมีชื่อเรียกว่าพระอินทร์เหมือนกันทุกพระองค์
และพระอินทร์นั้นจะมีอายุขัย เมื่อองค์นี้สิ้นอายุขัยแล้วก็จะมีพระอินทร์องค์ใหม่อุบัติขึ้นมาครองต่อไปอีก หมุนไปเช่นนี้ตลอดกาล
![]() |
ภาพประกอบบทความ พระเจ้ามันธาตุราช dmc.tv |
ในระยะที่พระเจ้ามันธาตุราช ทรงครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กึ่งหนึ่งอยู่นั้น เวลาได้ผ่านไปนานมาก สิ้นรัชกาลพระอินทร์ไป ๓๕ รัชกาล จวบถึงสมัยรัชกาลพระอินทร์องค์ที่ ๓๖
แม้ถึงกระนั้นตัณหาในการครองดาวดึงสเทวโลก ของพระเจ้ามันธาตุราช ก็มิได้เหือดแห้งหรือลดน้อยลงเลย แต่กลับทวีขึ้นอย่างรุนแรง
พระองค์ไม่ทรงอิ่ม ในการเสพเสวยกามสุข บนเทวโลกแม้แต่น้อย เมื่อตัณหาเกิดขึ้นถึงขีดสุด อกุศลจิตของพระองค์ก็เกิดขึ้นว่า..
“อย่ากระนั้นเลย เราควรฆ่าพระอินทร์เสีย แล้วครองสวรรค์ชั้นนี้แต่เพียงผู้เดียว”
เพราะอกุศลจิตนั้นเองจึงทำให้อายุสังขารของพระเจ้ามันธาตุราชสิ้นสุดลงทันที ด้วยว่าบนสวรรค์ไม่มีใครคิดฆ่าใคร ไม่มีการตาย ไม่มีใครฆ่าเทวดาได้
เพราะเทวดาเป็นอมรคือผู้ไม่ตาย เมื่อหมดบุญแล้วก็จุติ และร่างกายมนุษย์จะไม่มีการแตกดับบนเทวโลก
ดังนั้นเมื่อพระเจ้ามันธาตุราชสิ้นอายุขัย จึงต้องเคลื่อนคล้อยจากสวรรค์กลับมายังมนุษยโลก แล้วจึงเสด็จสวรรคต เพราะทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทวดาที่จะจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เหมือนเทวดาตัวจริง
พระเจ้ามันธาตุราชทรงหมดบุญบนสวรรค์ เพราะเกิดอกุศลจิตคิดฆ่าพระอินทร์ จึงตกจากสวรรค์ลงมาที่พระราชอุทยานของพระองค์ นายอุทยานจึงแจ้งข่าวไปยังพระราชสำนัก
ทางพระราชสำนักจึงรับสั่งให้จัดที่บรรทม ในพระราชอุทยานนั้นเอง เนื่องจากพระเจ้ามันธาตุราช จากเมืองมนุษย์ไปหลายชั่วอายุคน จนไม่มีใครรู้จักพระองค์ นอกจากประวัติศาสตร์ ที่เล่าต่อกันมาเท่านั้น
ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคต ที่พระราชอุทยานนั้น พระบรมศพก็มิได้ถูกอัญเชิญเข้าไปในพระราชฐานแต่ประการใด.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..
อันว่าตัณหาคือความอยากนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่ตกเป็นทาสของตัณหา ย่อมขาดอิสระไม่เป็นตัวของตัวเองต่อไป ย่อมดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่อยาก ตามที่ตัณหาบงการเรื่อยไป
เมื่อได้แล้วก็ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม จึงมีทุกข์ร่ำไป เมื่อยังไม่ได้ก็โหยหา หูตาสอดส่ายคอยฟังคอยดู สมองคิดหาวิธีที่จะให้ได้ ดิ้นรนทุกทางเพื่อให้ได้มา
เมื่อได้มาแล้วก็ห่วงกังวลกลัวจะสูญหาย หรือตายจากไป ทิ้งห่างไปไหนไม่ได้ กลายเป็นบ่วงผูกยึดไว้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อสูญหายหรือตายจากไป ก็เศร้าโศกเสียใจ เสียดาย ทำใจไม่ได้ กลายเป็นคนสิ้นหวัง หรือไม่ก็ทำร้ายตัวเอง
อาการต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเกิดมาจากตัณหา ที่ไม่มีขอบเขตที่บังคับควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น
หากมีสติคิดได้บ้างว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่บนฐานของความพอเพียง ความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ก็จะทำให้อยู่สุขสบาย
แสวงหาก็พอให้เป็นอยู่ได้ เมื่อได้มาก็ไม่ต้องบริหารดูแลมาก ไม่ยึดมั่นถือมั่นมาก
เมื่อสูญหายตายจากไปก็ไม่ทุกข์มาก คิดได้ทำได้เช่นนี้บ้าง ความทุกข์ก็จะไม่มากล้ำกรายรบกวนชีวิตมากนัก.
กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ขอขอบคุณภาพจาก Dmc.tv
กราบอนุโมทนาบุญกับธรรมทานอันมีคุณค่าในวันนี้ด้วยค่ะ
ตอบลบสาธุๆๆค่ะ ⭐️🌷🙏🙏🙏🌷⭐️
สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ