ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีพระราชาเมืองหนึ่ง ทรงปกครองบ้านเมือง โดยอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือ ทรงตั้งกฎระเบียบ ข้อบังคับไว้มากมาย ใครล่วงละเมิดก็ถูกลงโทษตามความผิด
ด้วยวิธีนี้ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ทุกคนต่างเกรงกลัวต่อกฎหมายนั้น สำหรับประชาชน ข้าราชการ และพ่อค้าวานิชที่หากินโดยสุจริตต่างก็พอใจในการปกครองแบบนี้
แต่มีคนอีกพวกหนึ่ง เห็นว่าจำกัดสิทธิเสรีภาพกันเกินไป เหมือนมัดมือชก ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้ จึงอึดอัดใจ ปรารถนาจะให้ผ่อนเพลาหรือยกเลิกกฎหมายต่างๆ เสีย
แต่ครั้นจะไปกราบทูลโดยตรงก็ไม่กล้า จึงคิดหาช่องทาง โดยได้ไปกราบเรียนพระมหาเถระรูปหนึ่ง ที่พระราชาทรงนับถือ ขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ ไปถวายพระพรขอร้องแทนพวกตน
เมื่อเห็นพ้องกันแล้วจึงไปที่วัดนั้น แล้วกราบเรียนขอร้องท่าน พระมหาเถรได้รับการขอร้องเช่นนั้น ไม่อาจขัดได้จึงรับปาก แต่ไม่รับรองว่าจะได้ผลหรือไม่
เมื่อได้โอกาส พระมหาเถระได้เข้าไปในวัง พระราชาก็ทรงต้อนรับด้วยพระราชอัธยาศัยอันดี ช่วงหนึ่งแห่งการสนทนา พระมหาเถระได้ถวายพระพรไปว่า
“ขอถวายพระพร มหาบพิตรทรงปกครองบ้านเมืองด้วยกฎระเบียบต่าง ๆ นั้นก็ดีอยู่ แต่ประชาชนทั้งหลายเขามีความเดือดร้อน เกิดความอึดอัดเหมือนถูกจับมัดไว้กับที่ จะเหยียดมือเหยียดเท้าก็ไม่สะดวก ไม่มีอิสรเสรีภาพ เขาว่ากันอย่างนั้น จึงขอให้อาตมภาพมาเป็นตัวแทน เพื่อให้ทรงผ่อนคลายกฎระเบียบลงบ้าง”
พระราชาทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทรงรับแต่ก็ไม่ทรงปฏิเสธทันที ด้วยความเกรงใจพระมหาเถระอยู่ สุดท้ายก็ตรัสกะพระเถระว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ โยมขอตรึกตรองสัก ๗ วันก่อนแล้วจะให้คำตอบแก่พระคุณเจ้า”
เมื่อพระราชาตรัสดังนั้นพระมหาเถระจึงถวายพระพรลา ก่อนส่งพระมหาเถระกลับ พระราชาทรงคิดอุบายได้จึงตรัสถามท่านว่า “ที่วัดพระคุณเจ้าเลี้ยงลิงไว้บ้างไหม”
“ไม่ได้เลี้ยงไว้สักตัวเดียว มหาบพิตร” พระมหาเถระถวายพระพร”
“ถ้าอย่างนั้น ขอให้พระคุณเจ้ารับลิงจากวังไปเลี้ยงสักตัวเถิดที่วังเลี้ยงลิงไว้มาก”
เมื่อพระเถระถวายพระพรรับไว้ พระราชาจึงทรงรับสั่งให้ไปนำลิงตัวหนึ่งมาถวาย พร้อมทรงกำชับว่า..
“ลิงตัวนี้ขอให้พระคุณเจ้าเลี้ยงมันอย่างเป็นอิสระด้วย มันอยู่ในวังมันถูกล่ามโซ่ไว้ แต่เมื่อไปอยู่วัดหากได้เป็นอิสระมันคงสบายขึ้น”
![]() |
ภาพประกอบบทความ |
พระมหาเถระรับที่จะปฏิบัติตามนั้น เมื่อไปถึงวัดแล้วก็ให้ปลดโซ่ออกจากคอลิง ปล่อยให้มันกระโดนโลดเต้นไปตามประสา ท่านมองดูลิงด้วยความสุขเมื่อเห็นมันเป็นอิสระ
เพียงข้ามคืนมันก็เริ่มออกลายลิง เมื่อมีผู้คนเข้าวัดมาทำบุญมันก็แหกปากแหกตาหลอกผู้คน ไล่จับเด็ก ๆ เล่นเอาโกลาหลไปทั้งวัด
เมื่อเด็กวัดไล่ตี มันก็กระโจนขึ้นไปบนหลังคากุฏิ รื้อจากที่มุงกุฏิทิ้งลงมาบ้าง กระโดดไปอีกหลังหนึ่งรื้อกระเบื้องโยนลงมาบ้าง พระเณรและเด็กวัดมัวยุ่งไล่ลิงตัวนั้นกันทั้งวัน จนไม่เป็นอันทำงานทำการอะไร
ตอนกลางคืนมันก็ไม่นอน มันเที่ยวไปตรงโน้นตรงนี้ รื้อข้าวของกระจุยกระจายไปหมด ทำให้นอนไม่หลับกันทั้งวัด รุ่งขึ้นก็ต้องวุ่นวายเก็บข้าวของกันอีก
มิใช่เพียงเท่านั้น มันยังถ่ายอุจจาระปัสสาวะเลอะเทอะไปหมดทั้งในศาลาและตามลานวัดแค่ ๒ คืน ๓ วันมันทำเอาป่วนกันทั้งวัด พระมหาเถระเห็นท่าไม่ได้การ
จึงให้เอาโซ่มาล่ามมันไว้ แล้วรีบให้คนจูงตามท่านเข้าไปในวัง ขอเข้าเฝ้าด่วน ทางเจ้าหน้าที่ก็อำนวยความสะดวกให้เข้าเฝ้า
“อ้าวพระคุณเจ้า มีธุระอะไรกับโยมอีกหรือ นี่ยังไม่ครบ ๗ วัน ที่จะให้คำตอบเลย” พระราชาตรัสถาม
“อาตมาไม่ได้มาเพราะเรื่องคำตอบดอก แต่มาเพราะต้องการเอาลิงมาคืน เลี้ยงไม่ได้แล้ว มันทำยุ่งไปทั้งวัด หลังคากุฏิ ข้าวของในศาลา มันเล่นเสียป่นปี้ไปหมด พระเณรญาติโยมเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ขืนเลี้ยงไว้ต่อไปมีหวังมันเผาวัดแน่ อาตมาขอคืนมหาบพิตร ขอถวายพระพร” พระมหาเถระบรรยายเสียยืดยาว
พระราชาทรงรู้ว่าเหตุการณ์เป็นไปตามอุบายวิธี แต่ก็ไม่ทรงเปิดเผยให้พระมหาเถระทราบความจริง เป็นแต่ตรัสว่า “พระคุณเจ้าขอรับ เรื่องที่โยมผลัดกับพระคุณเจ้าไว้ว่าจะให้คำตอบใน ๗ วันนั้น โยมขอตอบในวันนี้เลย
พระคุณเจ้านำลิงไปเลี้ยง โดยไม่ล่ามโซ่ยังเดือดร้อนถึงปานนี้ ลิงตัวเดียวที่เป็นอิสระยังก่อความวุ่นวายทำให้โกลาหลกันไปทั้งวัด โยมปกครองผู้คนทั้งเมือง ผู้คนจำนวนมากหากไม่มีกฎไม่มีระเบียบหรือกติกาบังคับจะวุ่นวายกันขนาดไหน ก็คงไม่ต่างอะไรกับลิงที่ไม่ล่ามโซ่นั่นแหละ
ผู้คนก็จะทำอะไรตามใจชอบ อยากจะฆ่ากันก็ฆ่า อยากจะหยิบฉวยของของใครก็หยิบฉวยไป อยากจะข่มเหงรังแกลูกเขาเมียใครก็ทำตามปรารถนา
นึกจะด่าว่าหรือใส่ร้ายป้ายสีใคร นึกอยากจะกินเหล้าเมายาอาละวาดชกต่อยใครก็ทำไป แล้วอย่างนี้บ้านเมืองก็จะเกิดกลียุคลุกเป็นไฟ ไปไหนก็ไม่ปลอดภัย นอนตาไม่หลับ
ต่างก็จะหวาดกลัวกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ไว้ใจกันและกัน แล้วจะอยู่เป็นสุขกันได้อย่างไร
ที่โยมออกกฎหมายออกกฎระเบียบต่าง ๆ นั้น ก็เหมือนกับมีโซ่คอยผูกคอยดึงไว้ มิให้ทำอะไรเกินเลยไป และใช่ว่ามีกฎหมายแล้วจะทำอะไรไม่ได้เลย ก็ยังทำอะไรที่ดีงาม ที่ถูกต้อง ไม่ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นได้อยู่ เป็นแต่อาจอึดอัดบ้างเท่านั้น ก็ต้องอดทนยอมแลก ดีกว่าจะปล่อยไปตามยถากรรม หรือพระคุณเจ้าจะเห็นเป็นอย่างไรอีก”
ในตอนท้ายทรงถามความคิดเห็นพระมหาเถระ “ขอถวายพระพร อาตมาก็เห็นชอบด้วยที่บ้านเมืองต้องมีกฎหมาย แต่ที่อาตมามาขอบิณฑบาตนั้นก็เป็นด้วยคำขอร้องของประชาชนส่วนหนึ่ง
แต่เมื่อมหาบพิตรทรงให้เหตุผลมาดังนี้ อาตมาก็จะขอนำไปชี้แจงให้ชาวบ้านเขาเข้าใจกัน” พระมหาเถระถวายพระพรตอบแล้วถวายพระพรลากลับวัด.
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..
กฎหมายและกฎกติกาต่างๆ ที่บัญญัติจัดวางกันไว้นั้นเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องหมู่คณะ ทำให้ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข มิใช่สิ่งที่ผูกรัดตัวจนหายใจไม่ออกหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพจนเกินไป
ทั้งยังป้องกันคนภายนอกมิให้เข้ามามีอำนาจเหนือคนภายในด้วย เหมือนรั้วบ้านมีประโยชน์ ๒ อย่างคือทำให้คนที่อยู่ในบ้านรู้สึกปลอดภัย มีอิสระที่จะทำอะไรได้ตามสะดวกภายในรั้วบ้าน และป้องกันคนภายนอกรวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ มิให้เข้ามาก่อเรื่อง ก่อความรำคาญในบ้านตามอำเภอใจ
กฎระเบียบจึงจำเป็นสำหรับคนที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นสังคม หาไม่แล้วต่างก็จะทำจะพูดตามต้องการ ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นไม่รู้จบ
แต่คนประเภทเห็นแก่ตัว ชอบทำอะไรตามใจ ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของใคร และผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจของกระแสกิเลส
และกระแสโลกนั้นมักไม่ชอบกฎหมาย ไม่ชอบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ชอบแต่จะฝ่าฝืนและหาทางหลบเลี่ยงเสมอ การที่โลกเดือดร้อน และไม่สงบสุขมาโดยตลอดก็เกิดจากคนประเภทนี้เป็นส่วนใหญ่
กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pixabay.com pexels.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น