ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ที่วัดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีพระจำพรรษาอยู่ ๒ รูป รูปหนึ่งเป็นมหาเถระอายุ ๖๐ อีกรูปหนึ่งเป็นอนุเถระอายุ ๕๙
ทั้งสองอยู่ด้วยกันต่างนับถือกันเหมือนพี่น้อง ชาวบ้านก็ให้ความเคารพนับถือ และถวายปัจจัยสี่เหลือเฟือ ต่อมามีพระจรรูปหนึ่งมาขอพักอาศัย ท่านทั้งสองก็ยอมให้พัก ด้วยคิดว่าวันสองวันท่านคงไปแล้ว
แต่พระรูปนั้นมิได้คิดเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าวัดนี้เป็นทำเลเหมาะ หากได้อยู่ประจำที่นี่ก็ไม่ต้องเร่ร่อนอดอยากต่อไป เมื่อความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นจึงหาอุบายกำจัดเจ้าถิ่นเสีย
![]() |
ภาพประกอบบทความ |
วันหนึ่งเมื่อพระมหาเถระไม่อยู่ พระรูปนั้นเห็นเป็นโอกาสจึงเข้าไปหาพระอนุเถระ แล้วกราบเรียนด้วยท่าทางพินอบพิเทาและจริงจังว่า “ท่านขอรับ ตั้งแต่กระผมมาวันแรก ท่านรู้ไหมว่าท่านมหาเถระพูดถึงท่านว่าอย่างไร?
พระเถระท่านกระซิบบอกผมมิให้คบหาสมาคมใกล้ชิดกับท่าน บอกว่าท่านเป็นพระอลัชชีหน้าด้าน มีศีลไม่บริสุทธิ์ เรื่องนี้พระเถระรู้ดีแต่พูดไม่ได้เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว” พระอนุเถระได้ฟังก็ได้แต่นิ่ง ไม่ค่อยเชื่อนัก
วันต่อมาพระรูปนั้นเข้าไปหาพระมหาเถระตามลำพังแล้วค่อย ๆ กระซิบว่า “พระเดชพระคุณขอรับ กระผมมีเรื่องอยากจะกราบเรียนพระเดชพระคุณ คือท่านอนุเถระพูดให้กระผมฟังว่าพระเดชพระคุณเป็นพระอลัชชี มีศีลไม่บริสุทธิ์ แต่แกล้งทำเป็นเคร่งเพื่อหลอกชาวบ้านแถมซ้ำยังห้ามมิให้กระผมเข้าใกล้พระเดชพระคุณเสียอีก กระผมอดน้อยใจแทนพระเดชพระคุณไม่ได้” พระมหาเถระได้ฟังก็นิ่งไปเหมือนกัน
เธอพยายามพูดทำนองนี้กรอกหูพระเถระเกือบจะทุกวัน นานเข้าทั้งสองก็เริ่มหวั่นไหวทำนองเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว เมื่อเกิดความหวั่นไหวก็สงสัยกัน
จึงต่างก็จับจ้องพิสูจน์กันและกันจนเกร็งไปด้วยกันทั้งคู่ จะไปถามกันให้รู้ดำรู้แดงกันไปก็ลังเลใจ นานเข้าก็มองหน้ากันไม่สนิทเหมือนเดิม
ท้ายที่สุดก็รังเกียจกัน แล้วต่างก็เก็บบาตรจีวรออกจากวัดไปคนละทิศละทาง พระส่อเสียดรูปนั้นเลยได้ครองวัดนั้นโดยสมบูรณ์แต่ผู้เดียว
![]() |
ภาพประกอบบทความ ไปคนละทาง |
พระเถระทั้งสองรูปนั้นต่างไปหาวัดใหม่อยู่ ตามแต่จะหาได้โยกย้ายไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปหลายสิบปี อายุก็ใกล้ร้อยด้วยกัน แต่ทั้งคู่ยังแข็งแรง เพราะต้องระเหเร่ร่อนตรากตรำอยู่เป็นประจำ
มาวันหนึ่งบังเอิญเดินทางมาพบกันที่วัดแห่งหนึ่ง ต่างก็จำกันได้ดี เมื่อพบกันต่างก็ลืมเรื่องทั้งปวงที่เกิดขึ้น ตรงเข้ากอดกันแล้วร้องไห้
เมื่อได้สติแล้วต่างก็เล่าชีวิตย้อนหลังครั้งจากกันไปว่า มิได้มีความสุขเลย คิดถึงกันตลอด แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ และท้ายสุดก็รื้อฟื้นเรื่องเก่ามาถามไถ่ความในใจกัน
ในที่สุดก็จับประเด็นได้ว่า พระจรรูปนั้นกุเรื่องขึ้นทั้งสิ้น จึงสรุปกันว่า “เรากลับไปที่วัดเก่ากันเถอะ ไปจัดการกับพระรูปนั้นกัน”
ทั้งสองรูปต่างก็งกเงิ่นเดินกลับไปที่วัดเดิม หลายวันกว่าจะถึง เมื่อไปถึงก็เห็นพระรูปนั้นกำลังนั่งคุยอยู่กับญาติโยมหลายคน จึงเข้าไปหาแล้วพูดว่า “นี่คุณ หมดเวลาของคุณแล้ว คุณทำกับพวกผมได้อย่างไร
พระแท้เขาไม่ทำอย่างนี้กันหรอก คุณต่างหากที่เป็นอลัชชีไม่มีศีล คุณไม่สมควรอยู่ที่วัดนี้อีกต่อไป คุณไปตามยถากรรมของคุณเถิด”
ญาติโยมที่นั่งฟังอยู่ต่างก็จำหลวงพ่อทั้งสองรูปได้ จึงได้ถามไถ่เรื่องราว พอได้ทราบก็พลอยผสมโรงไล่พระรูปนั้นไปด้วย สุดท้ายพระรูปนั้นก็ต้องรีบเก็บของออกจากวัดไปทันที ขืนอยู่อาจมีหวังโดยประชาทัณฑ์เป็นแน่
ได้ฟังต่อมาว่า ด้วยกรรมที่พระรูปนั้นส่อเสียดพระเถระจนทำให้แตกกัน แม้จะบำเพ็ญสมณธรรมมานานหลายชาติก็ไม่อาจป้องกันตัวจากอบายภูมิได้
พอมรณภาพแล้วได้ไปตกนรกอเวจีอยู่นานแสนนาน เศษกรรมที่เหลือทำให้มาเกิดเป็นเปรตอยู่ที่เมืองราชคฤห์
ในสมัยพระสิทธัตถะพุทธเจ้า เปรตนั้นเรียกกันว่าสูกรเปรต เพราะมีร่างกายเหมือนคน แต่มีหัวเหมือนหมู มีหางงอกออกมาที่ปาก มีหนอนไหลออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏ เป็นที่อเนจอนาถยิ่งนัก.
![]() |
ภาพประกอบบทความ |
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..
คำส่อเสียดหรือคำพูดยุยงให้คนแตกแยกกัน เป็นมหันตภัยร้ายสำหรับคนที่อยู่ด้วยกัน หากไม่ระวังหรือรู้เท่าไม่ทันก็จะแตกกันไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง เพราะผู้พูดส่อเสียดจะมีวิธีการพูดที่แยบยล มีน้ำหนักน่าเชื่อ มองเห็นเป็นเรื่องจริงได้ง่าย ใครหูเบา ใครใจอ่อน ใครเชื่อคนง่าย ก็มักจะตกเป็นเหยื่อของคนส่อเสียดโดยไม่รู้ตัว
อันคนส่อเสียดนั้นมีมาก เพราะเขาต้องการผลประโยชน์ส่วนตัวบ้าง เพราะเห็นว่าสนุกดีที่เห็นคนเต้นแร้งเต้นกาโกรธกันทะเลาะกันบ้าง สามีภรรยาที่ต้องทะเลาะกันไม่เลิก หวาดระแวงกันตลอด หรือต้องแยกทางกัน เพื่อนฝูงที่แตกคอกันเชื่อมกันไม่ติด ผู้ใหญ่ที่ต่างมองหน้ากันไม่สนิท ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุคือคำส่อเสียดของพวกบางช่างยุเช่นนี้เอง
วิธีป้องกันก็คือเมื่อมีใครมาพูดถึงคนที่สนิทชิดชอบหรือรักใคร่กันอยู่กับตนในทางที่เสียหายให้ฟังพึงชั่งใจ ฟังหูไว้หู อย่าให้น้ำหนักในทางเชื่อทันทีก่อน ค่อยตรวจตราสอบหาความจริงภายหลังได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ให้ผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาไปเลย อย่าให้คาหูคาใจอยู่แม้แต่น้อยนิดนั่นแหละป้องกันได้ดีที่สุด.
ที่มาหนังสือ กิร ดังได้สดับมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น