มิตตวินทุกะผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ในอดีตกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายชื่อว่ามิตตวินทุกะ เมื่อบิดาเสียชีวิตลงแล้ว มิตตวินทุกะ ก็ได้รับมรดกสืบต่อมา 

วันหนึ่งมิตตวินทุกะได้เข้าหุ้นกับกลุ่มเพื่อน เพื่อทำการค้าทางเรือ เขานั้นไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับผู้เป็นแม่มาก่อนเลย


 
ในวันออกเดินทางนั้น เขาได้เข้าไปบอกลาแม่ เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินเข้า
ก็ตกใจ 

ขอร้อง ห้ามปรามไม่ให้เขาไป เพราะในทะเลมีอันตรายมาก ทั้งสมบัติที่มีอยู่ก็มากมายกินใช้ไม่มีหมด

“หรือจะค้าขายอย่างไร ไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็ได้” ผู้เป็นแม่กล่าวห้าม

“ไม่ได้หรอกครับแม่” เขายืนกรานเสียงแข็ง “ผมตกลงกับพวกไว้แล้วว่าจะไป และผมเองก็อยากไปเที่ยวทะเลด้วย”

พูดแล้วเขาก็เดินออกจากบ้านไป แม่ก็พยายามจับแขนลูกยื้อยุดไว้  อ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้า.. 

เขาสลัดมือแม่ออก แล้วใช้มือฟาดแกมผลักอย่างแรง จนแม่ล้มทั้งยืน แต่เขาไม่สนใจว่าแม่จะเป็นอย่างไร  ไม่หันมามองแม่เสียด้วยซ้ำ

เรือกลางทะเล

เมื่อเรือไปถึงกลางทะเลได้ไม่กี่วันก็หยุดลงเสียดื้อ ๆ พรรคพวกร่วมทางต่างก็คิดตามแบบโบราณว่า ในเรือจะต้องมีคนกาลกิณีอยู่ด้วยจึงทำให้เรือหยุดโดยไม่ทราบสาเหตุ 

จึงตกลงให้ทุกคนจับสลากกาลกิณี ปรากฏว่านายมิตตวินทุกะจับได้สลากกาลกิณีถึง ๓ หน 

ทุกคนจึงลงมติว่าเขาเป็นคนกาลกิณีแน่ จึงต่อแพเล็ก ๆ แล้วจัดเสบียงอาหารกองไว้ให้นิดหน่อย เสร็จแล้วก็จับเขาโยนลงไปบนแพ ปล่อยไปตามยถากรรม เรือก็แล่นต่อไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

แพน้อยพาเขาล่องลอยไปตามคลื่นอยู่หลายวัน จนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะนั้นมีกำแพงเมือง และมีประตูอยู่ทั้งสี่ทิศ ว่ากันว่าเกาะนั้นคืออุสสทนรก! ซึ่งเป็นที่ทรมานสัตว์นรกจำนวนมาก

อุสสทนรก นรกขุมบริวาร

เขาขึ้นไปบนเกาะนั้น ครั้นเห็นกำแพงเมืองเข้าก็คิดด้วยความโลภว่า จะต้องเป็นพระราชาในเมืองนี้ให้ได้ จึงเดินเข้าไปตรงประตูทางเข้า 

สัตว์นรกตนหนึ่งถูกทรมานด้วยกงจักรกรดที่หมุนบดขยี้ศีรษะอยู่ มีโซ่ล่ามพาดไขว้ไว้ที่กลางอก มีร่างกายเกรอะกรังด้วยเลือด และส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด 

แต่ด้วยบาปกรรมที่เขาทำกับแม่ไว้ เขาจึงเห็นกงจักรที่อยู่บนศีรษะของสัตว์นรกนั้นเป็นดอกบัวประดับศีรษะ เห็นโซ่ที่ล่ามอยู่เป็นสร้อยสังวาล เห็นเลือดที่ไหลอาบร่างเป็นกระแจะจันทน์ และได้ยินเสียงร้องโหยหวนเป็นเสียงร้องเพลงไป 

เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเข้าไปหาสัตว์นรกนั้นแล้วร้องขอว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านทูนดอกบัวไว้เหนือศีรษะมานานแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้ทูนไว้บ้างเถิด”

“เพื่อน นี่ไม่ใช่ดอกบัว แต่มันเป็นกงจักรต่างหาก” สัตว์นรกบอก

“ท่านพูดอย่างนี้แสดงว่าท่านไม่ต้องการจะให้ข้าพเจ้าละสิ” เขาติง

สัตว์นรกนั้นจึงคิดว่า “กรรมของเราคงจะหมดสิ้นแล้ว คนผู้นี้คงจะทุบตีด่าว่าพ่อแม่มาเหมือนกับที่เราเคยทำมา จึงได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไป” คิดแล้วก็ยกกงจักรออกจากศีรษะได้อย่างง่ายดาย แล้วโยนไปบนศีรษะของเขา “เอาดอกบัวไปเถอะเพื่อน เรายกให้” สัตว์นรกนั้นพูดแล้วก็หายวับไป

พอได้สัมผัสกับกงจักรซึ่งบดขยี้ศีรษะทันใดเท่านั้น นายมิตตวินทุกะก็รู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่อยู่บนศีรษะของตนนั้น เป็นกงจักรมิใช่ดอกบัว แต่ก็สายไปเสียแล้ว เขาไม่อาจสลัดทิ้งหรือดึงมันออกจากศีรษะได้ 

จึงถูกกงจักรบดศีรษะถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด และต้องทุกข์ทรมานเช่นนั้นไปจนกว่าจะหมดกรรมที่ทำไว้กับแม่เหมือนสัตว์นรกตนก่อน.

เลี้ยงดูพ่อแม่

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..

อันบาปกรรมที่ทำร้ายทุบตีหรือด่าว่าพ่อแม่นั้น มีผลร้ายแรงนักหนา ผู้ทำเช่นนั้นย่อมได้รับผลกรรม เช่นลำบากยากจนบ้าง ทำมาหากินไม่ขึ้นบ้าง ครอบครัวไม่อบอุ่นบ้าง ลูกเต้าไม่เชื่อฟังบ้าง จนถึงเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปบ้าง 

ซึ่งอาจช้าหรือเร็วแต่ก็หนีไม่พ้นแน่นอน แต่ยังคิดไม่ได้ว่านั่นเป็นผลของบาปกรรมที่ทำไว้กับพ่อแม่ กลับไปโทษคนอื่น หรือโทษเทวดาฟ้าดินไปเสีย 

แท้ที่จริงบาปกรรมเช่นนั้นแหละ ที่เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของผู้ทำให้ประสบผลเช่นนั้น มิใช่อื่นใดเลย 

บุญคุณพ่อแม่นั้นมากด้วย หนักด้วย ผู้อกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่นับว่าแย่มากอยู่แล้ว ผู้เนรคุณทำร้ายพ่อแม่ด้วยกำลังกายบ้าง ด้วยคำพูดบ้าง ด้วยดื้อรั้นไม่เชื่อฟังบ้าง ก็จะยิ่งแย่ใหญ่ 

เป็นเหตุให้ผู้ทำได้รับผลกรรมมากอย่างด้วย หนักมากด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามความมาก และน้ำหนักของบุญคุณพ่อแม่นั่นเอง

 

กิร ดังได้สดับมา เทศนาโดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

ภาพจาก เพจพระนพดล สิริวํโส , dmc.tv , lifeandsoul , pixabay.com

ความคิดเห็น