ในชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ก็มีแต่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ในแต่ละภพชาติของบุคคล ในพระไตรปิฎก จะเห็นว่าบางท่านชีวิตก็ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ผลสุดท้ายก็ไปนิพพาน
ชีวิตบางท่านก็น่าเลื่อมใส คือตั้งแต่เป็นมหาทุคตะ สร้างบุญบารมีก็ขยับเลื่อนฐานะ ขึ้นมาเรื่อย ๆ เอาบุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ
แม้เกิดมายากจน แต่ได้เจอกัลยาณมิตร ได้รับคำแนะนำให้มาสร้างบุญ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคของ พระสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า พอตายจากชาตินั้น ก็จะได้ไปเกิดเป็นชาวสวรรค์
![]() |
ภาพการสร้างบุญบารมี |
หลังจากนั้น ก็ลงมาสร้างบารมีใหม่ ในฐานะของเศรษฐี แล้วก็มั่งคั่งเพิ่มไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นทุกตำแหน่งเป็นของกลาง ๆ แล้วแต่ใครจะไขว่คว้า อยากได้ตำแหน่งเศรษฐี หรือตำแหน่งยาจก ก็ขึ้นอยู่กับการประกอบกรรมของเรา
ตอนสุดท้าย ต้องไปนิพพานหมด ตอนที่บารมีอ่อน ๆ อยู่ ก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ ของพระนิพพานเท่าไร
มีความคิดว่ามันไม่สนุก ไม่มีโรงหนัง ไม่มีโรงละคร ไม่มีที่เที่ยวเล่นสนุกเพลิดเพลิน เพราะไม่เข้าใจอารมณ์ของพระนิพพาน เข้าใจแต่อารมณ์โลก ๆ
แต่พออินทรีย์แก่กล้าเข้า สร้างบุญไปเรื่อย ๆ พอบุญที่สั่งสมไปทีละเล็กที่ละน้อย มากเข้า อินทรีย์ก็แก่กล้า ตอนนี้จะรู้สึกจะหมดความจำเป็น ที่จะใช้ชีวิตในระดับของปุถุชน อยู่ ๆ ก็อิ่มไปเฉย ๆ
เหมือนอย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ทั้งคู่สั่งสมบุญบารมีกันเรื่อยมา พอมาชาติสุดท้าย ก่อนบวชก็เป็นหนุ่มที่คึกคะนองเที่ยวสนุกสนานไปด้วยกัน
จนกระทั่งอินทรีย์แก่กล้า บารมีเต็มที่จะเป็นพระอรหันต์ อยู่ ๆ ก็นั่งเซ็งด้วยกันทั้งคู่ ดูมหรสพถึงบทหัวเราะก็เฉย ๆ บทโศกก็เฉย ๆ ไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
แล้วหันหน้ามาเจอกัน ทั้งคู่พูดประโยคเดียวกัน เอ...วันนี้คุณแปลกจังเลย ดูมหรสพอะไรก็ไม่ค่อยมีรสมีชาติ
ไม่รู้เป็นไงวันนี้เห็นโลกมันว่างเปล่า แล้วก็เต็มไปด้วยกองเพลิงมันเร่าร้อน ไม่ได้มีสาระอะไรเป็นแก่นสารเลย
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะสมบูรณ์ไปด้วย โภคทรัพย์สมบัติ พวกพ้องบริวาร สมบัติมากมายแค่ไหน ก็อย่างนั้นเอง
ตอนนี้ความรู้สึกที่จะแสวงหาชีวิตอีกระดับหนึ่ง คือชีวิตของพระอริยเจ้าก็จะเกิดขึ้น และในที่สุดก็สมหวัง
![]() |
ชีวิตของพระอริยเจ้า |
เพราะฉะนั้น บุญเล็กบุญน้อย เราอย่าไปคิดว่าไม่สำคัญนะ ทำไปเถอะ จะค่อย ๆ สั่งสมไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเมื่อเต็มเปี่ยม ล้นปรี่
แล้ววันนั้นเราจะมีความรู้สึกที่แตกต่างจากคนรอบข้าง แตกต่างจากเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหาย จะเบื่อหมดเลย
ถ้าเมื่อไรเบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ค่อยติดใจอะไร นั่งธรรมะประเดี๋ยวเดียวแค่นั้นเอง จิตรวมเลย รวมวูบลงไป สว่างไปเลย
เพราะฉะนั้น บุญทุกบุญ อย่าไปปฏิเสธ ทำไปทุกวัน จนกระทั่งหมดอายุขัย อายุของเราเหลือกันอีก คนละไม่กี่ปีแล้วนะ
สมมุติว่าไม่ได้ไปก่อน มีอายุยืนสัก ๗๕ ปี นี่เหลือกันคนละไม่กี่ปีนะ อย่าชะล่าใจ นึกว่าเหลือเยอะ
เมื่อเราเหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ต้องคำนวณกันแล้วว่า ทุกอนุวินาที เราจะทำอย่างไร ที่เราจะได้บุญเยอะ ๆ บุญมาก ๆ มากพอที่เวลาเราระลึกนึกย้อนหลังแล้วปลื้ม ชื่นใจ
จนกระทั่ง เมื่อเรานอนอยู่บนเตียงคนป่วย ตอนนั้นกรรมนิมิต คตินิมิตจะมาฉายให้เราเห็น เห็นกันทุกคน ตอนนั้นจะเฉย ๆ อยากจะหลับตาเฉย ๆ
หมู่ญาติใครที่มาพูดข้าง ๆ หู ก็อื่อ ๆ ออ ๆ กันไปอย่างนั้น พูดไม่ได้บ้าง ไม่อยากจะพูดบ้าง หรือเฉย ๆ
กรรมนิมิตคือภาพที่เราได้ทำเอาไว้ แม้ในระดับของความคิด ก็ยังเกิดขึ้น ความคิด คำพูด และการกระทำ ก็จะมาฉายให้เห็น เห็นอยู่คนเดียว คนอื่นไม่เห็น
แล้วใจเราจะไปติดตรงไหนล่ะ ถ้าไปติดกรรมนิมิตที่เป็นกุศล คตินิมิตภาพที่จะไปสู่สุคติจะชัดเจน สังเกตตอนนั้นนะ จะปลื้ม ยิ้มอยู่ในหน้า ผิวพรรณวรรณะจะผ่องใส
แล้วก็ไปเกิดเป็นชาวสวรรค์ นี่ต้องให้ได้บุญ ในระดับที่ปลื้มกัน ถึงขนาดนี้ เราไปอยู่บนสวรรค์ ตอนนี้ไม่มีอุทธรณ์ฎีกาแล้วนะ ไม่ว่านรก ไม่ว่าสวรรค์ กลับกันไม่ได้แล้ว
เราจะไปพูดว่า รู้อย่างนี้ ตอนเป็นนุษย์ทำให้เต็มที่ พูดไปอย่างไรก็ไม่มีใครเขาฟัง
ความเป็นธรรมในสังคมเกิดขึ้น ใครทำบุญมาก รัศมีก็มาก บริวารสมบัติ วิมาน ยศ ตำแหน่งอะไรต่าง ๆ ความเป็นใหญ่ก็มาก ทำบุญปานกลางก็หย่อนลงมา ทำบุญน้อยก็ถอยลงมา จะเรียงกันไปอย่างนี้
ดังนั้นในระหว่างที่มีชีวิตอยู่นี้ สร้างบุญให้เต็มที่ ทุก ๆ บุญทำให้เต็มที่ เต็มกำลังเลย
คุณครูไม่ใหญ่
หนังสือ ชีวิตลิขิตได้ หน้า ๔๕ - ๔๙ (๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕)
ภาพจาก dmc.tv
ขอกราบขอบพระคุณ และขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบใช้ชวิตที่เหลืออย่างมีสติ
ตอบลบ