วิชาเศรษฐี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบคุย และชอบศึกษา หลังบวชเรียนมาหลายปี อยากเป็นเศรษฐีกะเขาบ้าง จึงสึกออกมาหางานทำ 

พอทำงานไปได้สักพักก็เปลี่ยนงาน ไปทำอย่างอื่น เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้ง เสียเวลาไปหลายปี ก็ไม่ร่ำรวยขึ้นมาได้

จึงคิดหาทางเรียนรู้จากคนที่เขาร่ำรวย ได้ยินว่ากำนันที่ตำบลโน้นมีฐานะดี จึงเข้าไปหา แล้วบอกความประสงค์ 

พอดีกำนันก็ใจนักเลงอยู่ด้วย ทั้งเห็นเขาท่าทางเอาจริง จึงรับว่าจะสอนวิชาเศรษฐีให้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกินอยู่ และช่วยทำงานในบ้านโดยไม่มีค่าแรงเป็นเวลา ๓ ปี

เขาก็ตกลง ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ จนถึงเย็น กำนันไปที่ครัว บอกให้เขาทำอาหาร ๖ – ๗ อย่าง พอถึงเวลา ก็ให้ยกมาตั้งที่โต๊ะอาหาร พร้อมสั่งให้นำสุราอย่างดีมาตั้งด้วย เขาจึงถามว่า จัดอาหารมากมายเต็มโต๊ะอย่างนี้ จะมีใครมากินด้วย

“ก็เลี้ยงต้อนรับศิษย์ใหม่ไง และช่วงนี้ฉันอยู่คนเดียว ลูกเมียเขาไปเยี่ยมแม่ต่างจังหวัดหลายวัน เอาลงมือได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” 

กำนันกล่าวแล้วผายมือไปที่อาหาร เจ้าทิดคิดว่าในวันนี้เป็นลาภปากแท้ ๆ เขาตักข้าวใส่จาน แล้วคว้าขวดเหล้ามา เตรียมจะริน กำนันรีบจับมือเขา แล้วถามว่าชอบกินเหล้าหรือ?

 เขาตอบว่าชอบ และกินมาหลายปีแล้ว กำนันจึงถามว่า เหล้านี่จำเป็นต่อร่างกายไหม ไม่กินจะทำให้ตายไหม เมื่อเขาตอบว่าไม่จำเป็น และไม่ทำให้ตาย กำนันจึงบอกว่าเมื่อไม่จำเป็น ก็ไม่ควรดื่ม แล้วเรียกคนใช้ให้มาเก็บสุราไปไว้ที่เดิม 

เขามองอย่างเสียดาย แต่ก็ทำใจได้ เพราะอาหารอร่อย ๆ ที่บนโต๊ะยังมีอีกเพียบ เขาเริ่มจะตักอาหารในจานหนึ่ง กำนันก็จับมือเขาไว้ แล้วถามว่าอาหารบนโต๊ะนี่ เรากินสองคนหมดไหม เมื่อเขาตอบว่าคงไม่หมด 

กำนันถามต่อว่าเมื่อกินไม่หมดจะต้องทำอย่างไร ? 

"ก็ต้องทิ้งไปครับ" กำนันจึงบอกว่า จะทิ้งให้เสียของทำไมเล่า ว่าแล้วก็สั่งให้คนใช้ ยกอาหารที่สามารถเก็บไว้กินวันรุ่งขึ้นได้ ๒ – ๓ อย่างไปเก็บ มื้อนั้นก็เลยมีอาหารไม่กี่อย่าง 

หลังจากทานอาหารแล้ว เขาก็ถามกำนันว่าจะให้เขาเรียนวิชาเศรษฐีเมื่อไร ? 

กำนันจึงบอกว่า “เริ่มเรียนแล้ว ก็บนโต๊ะอาหารนั่นแหละ นี่เป็นบทที่หนึ่งนะ คนเราจะร่ำรวยได้ต้องรู้จักกินก่อน ถ้าไม่รู้จักกินก็รวยไม่ได้ คนส่วนใหญ่จนเพราะไม่รู้จักกิน กินไม่เป็น กินสุรุ่ยสุร่าย กินทิ้งกินขว้างจำไว้เถอะ ถ้ากินเป็นก็ทำให้รวยได้”

ไม่กินทิ้งกินขว้าง

เขารับว่า “จริงด้วย ที่ผมเรียนรู้มาก็เป็นอย่างนั้น”

กำนันพูดแล้วก็ลุกไปที่มุมห้อง หยิบเอากระบุงที่สานค้างไว้ มาสานต่อ พลางคุยกับเขาไปเรื่อย ๆ เขาจึงถามด้วยความสงสัยว่า ที่บ้านกำนันก็มีกระบุงตะกร้ามากมาย และเงินทองก็มีเยอะแยะ จะมาเสียเวลาสานกระบุงอยู่อีกทำไม?

กำนันตอบว่า “กระบุงตะกร้าพวกนี้ทำเป็นงานอดิเรก ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ คุยไปสานไป ทำไว้ใช้เอง ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อ เหลือก็เอาไปขายได้เงินมาเป็นค่ากับข้าวได้ มีประโยชน์ทั้งนั้น ดีกว่านั่งคุยกันเฉย ๆ เสียเวลาเปล่า ๆ”

“จริงด้วย ที่ผมเรียนรู้มาก็เป็นอย่างนั้น” เขาตอบคำเดิม

คุยกันจนได้เวลานอน กำนันจึงให้คนใช้กางมุ้งสองหลัง ที่กลางเรือนแล้วบอกให้เขาเข้าไปนอนในมุ้งหลังหนึ่ง จะได้นอนคุยกันต่อ เมื่อเขาเข้ามุ้งแล้ว กำนันได้ลุกขึ้นหายไปสักพัก ก็กลับมาแล้วปิดไฟเข้านอน 

เขาจึงถามกำนันว่าไปไหนมา และรีบปิดไฟนอนทำไม ขอคุยต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ?

กำนันตอบว่า “ฉันไปตรวจดูที่ครัว ที่ห้องน้ำ และหลังบ้านดูว่าเขาปิดไฟปิดน้ำหมดหรือยัง เพราะบางทีเผลอเปิดน้ำเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน เงินค่าน้ำค่าไฟมันก็ไหลออกจากกระเป๋าเราทั้งคืนโดยไม่จำเป็น นี่ก็เป็นบทเรียนอีกเหมือนกัน 

สาเหตุที่ทำให้คนเราจนส่วนหนึ่งก็มาจากไม่ดูแลเรื่องน้ำเรื่องไฟให้ดี เปิดทิ้งเปิดขว้างไม่ประหยัด เสียเงินโดยใช่เหตุ เวลานอนก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟคุยกัน คุยมืด ๆ ไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ได้”

“จริงด้วย ที่ผมเรียนรู้มาก็เป็นอย่างนั้น” ประโยคเดิมออกจากปากเขาเช่นเคย

คุยกันจนเคลิ้มหลับไป สักพักหนึ่งกำนันได้ยินเสียงกุก ๆ กัก ๆ ในมุ้งของศิษย์ใหม่ กำนันจึงร้องถามเขาไปว่า “กำลังทำอะไรอยู่ นอนไม่หลับหรืออย่างไร”

“ผมกำลังถอดเสื้อถอดกางเกงครับ” เขาตอบตามตรง “ผมเห็นว่าการที่คนเรานอนคนเดียว ไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้า แค่ชั้นในตัวเดียวก็พอแล้ว มันมืดไม่มีคนเห็นหรอก ถ้านอนทั้งเสื้อผ้าจะทำให้ผ้ายับได้ ถอดเก็บพับไว้ไม่เหม็นด้วย ทั้งไม่ต้องซักบ่อยให้เปลืองผงซักฟอก ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ”

ไม่มีเสียงตอบจากมุ้งกำนัน เลยเงียบไปทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารกันแล้ว เขาจึงถามกำนันว่าจะให้เรียนอะไรอีก กำนันมองหน้าเขายิ้ม ๆ แล้วตอบว่า “ไม่ต้องเรียนอีกแล้ว คุณเรียนจบแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ความจริงคุณรู้มากกว่าฉันเสียอีก เช่นบทเรียนเรื่องเวลานอนไม่ต้องใส่เสื้อผ้านั้นฉันยังเรียนไม่ถึงเลย เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าคุณรู้ทุกอย่างแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณยังขาดอยู่คือเคล็ดวิชาเศรษฐี หากคุณเข้าใจและปฏิบัติตามได้จะเป็นเศรษฐีได้ในไม่ช้า”

“เคล็ดวิชาเศรษฐีว่าอย่างไรครับ” เขาถามทันที

“รู้แล้วต้องทำตามที่รู้” เศรษฐีตอบ

“คุณรู้ทุกอย่าง และรู้อย่างดีด้วยว่าอะไรเป็นอะไร เป็นแต่คุณไม่ได้ทำตามที่รู้ ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ศึกษาเล่าเรียนมาเลย เช่นรู้ว่าสุราไม่ดี ไม่ได้กินก็ไม่ตาย แต่ก็ยังกินมันอยู่ อย่างนี้เป็นต้น จึงทำให้เป็นเศรษฐีไม่ได้จนทุกวันนี้ 

แต่ต่อนี้ไปหากทำตามเคล็ดวิชานี้อย่างเคร่งครัดได้ คุณก็จะได้เป็นเศรษฐีใหม่อีกคนหนึ่ง ขอให้โชคดีนะ” กำนันอรรถาธิบายเคล็ดวิชาแล้วส่งเขาไปแสวงหาโชคเอาเอง.


เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..

คนส่วนมากต้องการเป็นเศรษฐี ต้องการมีฐานะร่ำรวย ต้องการอยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่มิใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ เพราะส่วนใหญ่จะรู้ดีด้วยกันทั้งนั้นว่า การที่จะร่ำรวยได้จะต้องเป็นคนขยัน ประหยัด มัธยัสถ์ 

จะต้องงดเว้นจากอบายมุข และรู้ดีว่าสุราไม่ดี บุหรี่ไม่ดี การพนันไม่ดี เที่ยวเตร่ไม่ดี แต่ก็แค่เพียงรู้ดีเท่านั้น หาได้ทำตามที่รู้ไม่ เข้าทำนองว่า “รู้ดี แต่ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ” แล้วอย่างนี้จะเป็นเศรษฐี เป็นคนร่ำรวยได้อย่างไร คนที่กินไม่เป็น ใช้ไม่เป็น รวมถึงคนที่ทำงานไม่เป็น ขยันไม่เป็น ประหยัดไม่เป็น 

แม้จะรู้ดีอย่างไรก็ไม่อาจเข้าถึงภาวะเศรษฐี และภาวะร่ำรวยได้ เพราะเดินไปผิดทาง เส้นทางเศรษฐีกับ เส้นทางอนาถาพุ่งไปคนละทิศ เมื่อปรารถนาเป็นเศรษฐีก็ต้องเดินไปตามเส้นทางเศรษฐีสถานเดียว เคล็ดวิชาเศรษฐีที่ว่า “รู้แล้วต้องทำตามที่รู้” ถือว่าเป็นสุดยอดวิชาเศรษฐีทีเดียว.


พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)

กิร ดังได้สดับมา เล่ม ๒ หน้า ๑๕๓-๑๕๖

ภาพจากเพจการบ้าน, pexels

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น