พระนิพพานนั้นอยู่ที่ตรงไหน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่อยู่ที่บนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาว ไม่ใช่ดินน้ำลมไฟอย่างที่เราได้เห็นด้วยตาเนื้อ แต่อายตนะนั้นมีอยู่ ท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น
อายตนะนั้นมีอยู่ ไปไม่ถึงด้วยยวดยานพาหนะอันใดทั้งสิ้น จะไปด้วยรถ ด้วยเรือ ด้วยจรวด ด้วยอะไรก็แล้วแต่ ไปกันไม่ถึงทั้งนั้น ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการนอน มีแต่นั่งเข้านิโรธสมาบัติ สงบนิ่งอยู่ในนั้นน่ะ เรียกว่า อายตนนิพพาน
แล้วก็อยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ที่เราอาศัยนั่งขัดสมาธินั่นแหละ อยู่ในตัวของเรานี่เอง ไม่ได้อยู่ที่ตรงไหนเลย
ทีนี้พอพูดถึงในตัวของเรา พวกเราบางท่านก็จะนึกไปถึงตับไตไส้พุงอะไรต่าง ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ จะเป็นที่สิงสถิต ของพระนิพพานได้อย่างไรหนทางนั้นมีอยู่ที่จะเข้าถึง มัชฌิมาปฏิปทา ตถาคเต อภิสัมพุทธา คือให้เข้าไปตรงกลางของตัวเรา
ถ้าเราเอาเส้นเชือกขึงจากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากขวาทะลุซ้ายไปอีกเส้นหนึ่ง เส้นเชือกตัดกันตรงกลางกั้ก เหนือขึ้นมาจากจุดนั้น ๒ นิ้วมือ เรียกว่า ฐานที่ ๗ ตรงนี้คือทางไปสู่พระนิพพานของทุก ๆ คนในโลก
เป็นทางหลุด ทางพ้น เป็นทางเข้าถึงความสุขอันเป็นอมตะ อยู่ตรงนี้ที่เดียว ไม่ใช่อยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ในป่าในเขา ในห้วย ในหนอง ในคลอง ในบึง หรือตามจักรวาลน้อยใหญ่ต่าง ๆ แต่อยู่ตรงนี้
ถ้าเราเอาใจของเรามาหยุดนิ่งให้ถูกส่วน ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้ ไม่ช้าจะเข้าถึงดวงปฐมมรรค จะเห็นทางเบื้องต้นไปสู่พระนิพพาน เป็นดวงใส ๆ คล้ายกับเพชร กลมรอบตัว
อย่างเล็กโตเท่ากับดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เรียกว่า ปฐมมรรค เป็นหนทางเบื้องต้นที่จะไปสู่พระนิพพาน
ที่พระพุทธเจ้าตรัสให้พอใจในพระนิพพานก็หมายความว่า ให้เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ ให้เกิดความพอใจอยู่ที่ตรงนี้ อย่าไปพอใจในโลกามิส ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ให้เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ หยุดกันให้ถูกส่วนทีเดียว
พอถูกส่วนก็เห็นดวงใส เป็นปฐมมรรคเกิดขึ้นอยู่ภายในดวงใสนี้ ไม่ใช่ใครทำให้มีขึ้น หรือไปสร้างเป็นมโนภาพ ไม่ใช่อย่างนั้น พอหยุดแล้วก็จะเข้าถึง คำว่า เข้าถึง แสดงว่าสิ่งนี้มีอยู่แล้วในตัวของเรา เป็นดวงใส ๆ กลมรอบตัวทีเดียว อยู่ที่ตรงนี้
นี่แหละเรียกว่าปฐมมรรค หนทางเบื้องต้นไปสู่พระนิพพาน เมื่อใจหยุดถูกส่วนที่กลางปฐมมรรค พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวก็เห็นหนทางต่อไปอีก เห็นศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติวิมุตติญาณทัสสนะ ที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ ว่า ศีล สมาธิปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ๕
อย่างนี้เป็นเครื่องนำใจให้หลุดพัน สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังก็มาจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้เห็น เห็นจากตัวของท่าน ที่เรียกว่า ตรัสรู้ ตรัสรู้ แปลว่า ความรู้ที่เกิดจากความเห็นแจ้ง เห็นด้วยธรรมจักขุ ดวงตาธรรมของท่านเห็นไปตามลำดับอย่างนี้
เห็นอยู่ในกลางตัวของท่าน แล้วก็เห็นกายต่าง ๆ ซ้อนกันอยู่ภายในเห็นกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบ เห็นกายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายทิพย์ เห็นกายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหม เห็นกายธรรมซ้อนในกายอรูปพรหม
แล้วก็เห็นกายธรรมในกายธรรมเข้าไปเรื่อย ๆ เข้าไปตามลำดับอย่างนี้ จนกระทั่งเข้าไปสุดกาย กายที่สุด ที่สะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย กายธรรมองค์ที่สุดนั้นแหละ จึงจะไปสู่พระนิพพานได้
ถ้าเปรียบแล้วการไปสู่พระนิพพาน ก็เหมือนกับรถหลาย ๆ ผลัด อย่างเช่น ถ้าเราจะไปจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ เราก็ต่อรถไปหลาย ๆ ผลัด ผลัด ๑ มาส่งที่รังสิต อีกผลัดหนึ่งส่งต่ออยุธยา ถึงอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เรื่อยไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงลำพูน แล้วก็เชียงใหม่
ในตัวของเราก็เช่นเดียวกัน กว่าที่จะเข้าไปถึงอายตนนิพพานได้ ก็จะต้องอาศัยกายต่าง ๆ เป็นทางผ่านของใจ ส่งกันต่อ ๆ ขึ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม แล้วก็กายธรรม แล้วก็กายธรรมในกายธรรม เข้าไปตามลำดับอย่างนี้แหละ จึงจะถึงพระนิพพานได้
พระนิพพานอยู่ที่ไหน - คุณครูไม่ใหญ่ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
หนังสือชีวิตลิขิตได้ หน้าที่ ๓๑ - ๓๕
ภาพเพจการบ้าน, dmc.tv
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ตอบลบขอกราบอนุโมทนาบุญในคำอธิบายเรื่องนิพพานของหลวงพ่อ สาธุ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ