วันคืนล่วงไป ๆ เราหมดเวลาไปกับอะไรบ้าง ?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า "ชีวิตนี้เป็นของน้อย ถูกความชรารุกรานไปอย่างเงียบ ๆ ความชรานั้นรุกรานนำไปสู่ความตาย บุคคลใดพิจารณาเห็นโทษของความตายนั้น ก็ควรจะคลายความยึดมั่นถือมั่นในโลกามิส มีใจยินดีในพระนิพพาน" (อังคุตรนิกาย)

พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้สั้น ๆ อย่างนี้ว่า ชีวิตนี้เป็นของน้อย ใครจะอายุยืน ไปถึงกี่ปีก็ตาม ๗๐ - ๘๐ - ๙๐ หรือ ๑๐๐ ปีก็ตาม ท่านถือว่าเป็นของน้อยสำหรับการสร้างบารมี เดี๋ยวนี้อายุขัยของคนเรา ถัวเฉลี่ยแล้วประมาณ ๗๕ ปี 


ใครอายุเกินจากนี้ ตั้งแต่ ๗๕ ขึ้นไป ถือว่าเป็นผู้ที่มีอายุยืน ได้สั่งสมบุญเก่ามาดี แต่ว่าถัวเฉลี่ยแล้ว เรามีเวลาอยู่ ๗๕ ปี ท่านถือว่าเป็นของน้อย น้อยต่อการสร้างความดี วันหนึ่งมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง เราแบ่งชีวิตเป็น ๓ ช่วง ช่วงละ ๘ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมงเราเอาไว้นอนหลับพักผ่อน นี่เราเสียเวลาไปแล้ว ๘ ชั่วโมง 

ถ้า ๘ ชั่วโมงเอาไว้สำหรับทำงาน แต่บางคนทำเกินกว่า ๘ ชั่วโมง อีก ๘ ชั่วโมงเอาไว้สำหรับบริหารขันธ์ ทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย ดูหนัง ดูทีวี หรือพูดจา พูดคุยกับญาติมิตรบ้าง

เพราะฉะนั้น เวลาที่สูญเปล่าต่อวันหนึ่งมากทีเดียว สูญเปล่านี้เพราะการนอนหลับพักผ่อนไป ๑ ใน ๓ ของ ๑ วัน ทำงานเพื่อที่จะหาปัจจัย ๔ มาบำรุงเลี้ยงร่างกาย อีก ๑ ใน ๓ ของชีวิต อาบน้ำล้างหน้า แปรงฟัน บริหารขันธ์ หมด ๑ ใน ๓ แล้วจะมีเวลาไหนที่เราจะทำความดี?

เราลองพิจารณาดูสิ ถ้าเราอายุ ๖๐ ปี เสียเวลานอน ไป ๒๐ ปี นั่นสูญเปล่า ทำงานเลี้ยงขันธ์ ๕ นี้อีก ๒๐ ปี สูญเปล่าอีกแล้ว ล้างหน้าแปรงฟันบริหารขันธ์เลี้ยงร่างกาย ซึ่งร่างกายเดี๋ยวก็จะเอานั่น เดี๋ยวก็จะเอานี่เรื่อย ๆ หมดไปอีก ๒๐ ปี

ที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า ชีวิตเป็นของมีน้อย น้อยสำหรับเอาไว้ใช้สร้างบารมี แต่สำหรับผู้ที่เกิดมาในโลก นี้ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา มีชีวิตเหมือนนกเหมือนกา ก็ไม่ต้องคิดอะไรกัน ก็ปล่อยกันไปเป็นวัน ๆ ก็สะเปะสะปะเหมือนสวะลอยน้ำกันไปอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น พระองค์ได้ตรัสเตือนพวกเราเอาไว้ว่า ชีวิตเป็นของน้อย ถูกความชรารุกรานอย่างเงียบ ๆ ข้าศึกต่าง ๆ ที่เวลาจะเข้าบ้านเข้าเมืองกัน ยังพอจะรู้เรื่องได้ แต่ความชราเป็นข้าศึกที่รุกรานอย่างเงียบ ๆ มันมาพร้อมกับความเกิด พอมีความเกิด ความแก่มันก็ตามมา แต่เป็นความแก่ที่มองไม่เห็น 

เราจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อผ่านไปแล้ว ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี เรื่อยขึ้นไปตามลำดับ เราจึงจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น ตอนไหนที่เราจะสังเกตออก เราก็สมมุติเรียกตอนนั้นว่า วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน วัยชรา วัยแก่ วัยหง่อม นั้นคือความแก่ที่มองเห็น

แต่ความชราที่รุกรานอย่างเงียบ ๆ มันมาทุกอนุวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก แม้แต่เรานั่งปฏิบัติธรรมในตอนนี้ มันก็ยังรุกรานอยู่อย่างเงียบ ๆ ความชรานำความเสื่อม มาให้กับร่างกายของเรา ความชราดึงความเป็นหนุ่ม ความแข็งแรง ความคล่องตัวออกไป แล้วก็เอาความเสื่อมมาให้กับเรา ความไม่มีกำลังกาย ความไม่มีกำลังใจ ความท้อ ความไม่สวยงามของผิวพรรณวรรณะ ความเสื่อมไปของสติปัญญา 

ซึ่งเป็นเหตุให้เราทำความดีได้ไม่เต็มที่ เราถูกความชรารุกรานอย่างเงียบ ๆ รุกรานนำไปสู่ความตาย คือจะเสื่อมไปอย่างนี้ ตอนสุดท้ายก็คือตาย สลายไปนั่นเอง ทุกคนไปสู่จุดสลายหมด

บุคคลใด พิจารณาเห็นโทษ ของความตายนั้น ว่าอย่างไรเราก็ต้องตาย จะมีชีวิตเลิศเลอสมบูรณ์ไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญแค่ไหนก็ตาม ตายหมด จะมีรูปร่างสวยงามแค่ไหนก็ตาย เพราะฉะนั้นพิจารณาให้เห็นโทษว่า ยังไงเราก็ตายแน่ ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ตายหมด

แต่ก่อนตายนะ เราควรจะทำชีวิตของเรา ให้มีประโยชน์อย่างไร พระพุทธองค์ได้ตรัสต่อไปว่า ให้พิจารณาเห็นโทษว่า อย่างไรเราต้องตาย แล้วให้ละคลายความยึดมั่น ถือมั่น ในโลกามิส โลกามิสก็คือเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในโลกนี้ เป็นเหตุให้ใจห่างจากกระแสของพระนิพพาน

เมื่อห่างจากกระแสของพระนิพพาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความสุข ห่างมากเข้า ๆ เราไปจมจ่อมอยู่ในโลกามิส คือเหยื่อล่อนี้ ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ เราลองพิจารณาที่ผ่านมา ตั้งแต่เราเกิดจนมานั่งอยู่อย่างนี้ เราจมจ่อมอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ

เรานึกอย่างนี้ก็แล้วกันว่า ถ้าหากว่าเราเข้าใกล้แหล่งกำเนิดแสงเท่าไร เราก็ยิ่งพบความสว่างมาก พบความสว่างมากเท่าไร ความสะดุ้งกลัวต่าง ๆ ก็จะหายไป มีความอบอุ่นใจ ถ้ายิ่งห่างจากแหล่งของแสงมากเท่าไร เราก็จะยิ่งพบกับความมืด ความมืดนั้นนำมาซึ่งความสะดุ้งกลัวกับตัวของเราเอง

ลองนึกถึงสภาพว่า เราเดินไปในป่ามืด ๆ ป่ารกทึบ มีภัยต่าง ๆ รอบด้านเลย จากสิงสาราสัตว์บ้าง จากคนร้ายบ้าง จากอุบัติเหตุบ้าง สารพัดที่เกิดขึ้นในความมืด แต่เราเดินมาเห็นแสงริบหรี่สว่าง ๆ อยู่ในกลางทุ่งไกล ๆ ใจเราชื้นขึ้นมาทันที ความสะดุ้งกลัวมันก็ค่อย ๆ ลดลงไป ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไร ความสะดุ้งก็ยิ่งหายไปเรื่อยเท่านั้น

เพราะฉะนั้น พระนิพพาน ท่านเปรียบเอาไว้ เหมือนกับแหล่งกำเนิดของแสงสว่างของชีวิต เป็นที่บรรจุความสุข อันเป็นอมตะเอาไว้ ที่นั้นเป็นที่รวมแห่งความสุข ถ้าใครได้เข้าใกล้ ก็จะยิ่งมีความสุขมาก

แต่มนุษย์เดี๋ยวนี้ ปล่อยปละละเลยในกระแสของพระนิพพาน แล้วก็หมกหมุ่น ยินดีอยู่กับวิทยาการใหม่ ๆ ติดกับโลกติดกับวัตถุ จึงเหมือนกับเดินอยู่ในที่มืด ท่านจึงให้พิจารณาว่า ชีวิตเป็นของน้อย ถูกความชรารุกรานอยู่เงียบ ๆ รุกรานนำไปสู่ความตาย พิจารณาให้เห็นโทษของความตายนั้นคือ ที่สุดแห่งชีวิตนั้น แล้ว ละ - คลาย คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลกามิส คือเหยื่อล่อให้ใจเราติด

ท่านใช้คำว่าเหยื่อล่อ เหมือนพรานเบ็ดใช้เหยื่อติดเบ็ด แล้วก็ล่อปลาในน้ำนั้น เหยื่อล่อให้ติดอยู่อย่างนั้น พอปลากินเหยื่อ ก็ได้รับความทุกข์ทรมาน ตั้งแต่ร่างกาย การเจ็บป่วยของอวัยวะ จนกระทั่งตาย นั่นน่ะเหยื่อล่อ

ท่านให้ผ่อนคลาย โดยพิจารณาให้เห็นโทษของสิ่งเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็เสื่อมสลายไป เราเกิดมาในโลกนี้ เจอะสิ่งเหล่านี้ ก็เพียงแต่ เป็นเครื่องอาศัยอยู่ ชั่วคราวเท่านั้น อย่าคิดว่ามันเป็นจริงเป็นจัง ยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งคลายไม่ออก มืดหน้าตาลาย มองไม่เห็นหนทางพระนิพพาน ไม่เห็นว่าเป้าหมายของชีวิตนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นท่านก็ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วางในโลกามิสเหล่านี้ 

สิ่งเหล่านี้บางครั้งมันก็พลัดพรากจากเราไปก่อน บางครั้งเราก็พลัดพรากจากมันไปก่อน มันไม่แน่เหมือนกัน นี่สิ่งของที่นอกตัวนะ ฉะนั้นท่านก็ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง

แล้วให้ยินดีในพระนิพพาน ให้เห็นว่าพระนิพพาน เป็นที่บรรเทาแห่งความมัวเมา ดับกระหาย เป็นที่หมดตัณหา หมดความทะยานอยาก มีแต่สุขล้วน ๆ ไม่มีทุกข์เจือเลย ให้นี่พระพุทธองค์ทรงแนะให้ปฏิบัติอย่างนี้


หนังสือชีวิตลิขิตได้ หน้า ๑๓ - ๑๙ - ชีวิตเป็นของน้อย

ภาพดี ๆ ๐๗๒ , เพจการบ้าน

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น