สัจจะวาจา เปลี่ยนชีวิต!!

ในอดีตกาล ที่เมืองสังขนคร มีหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อเสตกุมารี นางมีรูปร่างงดงามยิ่งกว่าหญิงใดในเมืองนั้น จึงได้รับการคัดเลือก ให้เป็นหญิงโสเภณี หรือหญิงงามเมือง มีบ้านใหญ่โตหรูหรา 

ค่าตัวของนางนั้นสูงลิ่วถึงคืนละ ๑,๐๐๐ ตำลึง ลูกค้าของนางจึงเป็นคนระดับราชกุมาร หรือไม่ก็ลูกเศรษฐีเท่านั้น

คืนหนึ่งราชกุมารได้เสด็จไปที่หอของนาง แล้วมอบเงินค่าตัวให้ นางได้ทูลถามว่ารักนางหรือไม่ พระราชกุมารตอบว่ารัก นางจึงทูลถามต่อไปว่า ถ้าเกิดนางตายไป จะทรงยอมตายตามหรือไม่? 

พระราชกุมารจึงให้สัจจะว่า จะขอตายตามไปด้วย เพื่อพิสูจน์รักแท้ นางพอใจ และอนุญาตให้พระราชกุมารอยู่ร่วมด้วยคืนหนึ่ง

ผู้หญิงสวย

ต่อมาลูกเศรษฐีในเมือง ชื่อนันทเสน ได้มอบเงินให้นาง และขออยู่ร่วมกับนางคืนหนึ่ง นางก็ถามว่ารักนางหรือไม่ นันทเสนก็ตอบว่ารัก 

นางถามต่อไปเหมือนกับถามพระราชกุมาร และนันทเสนก็ให้สัจจะว่าถ้านางตายไป ก็จะขอตายตามไปด้วย นางก็พอใจและให้นันทเสนร่วมอภิรมย์ด้วยคืนหนึ่ง

และต่อมาอีกไม่นาน นางเกิดเป็นลมปัจจุบัน และสิ้นชีวิตลง เขานำศพของนางไปเผา ที่ป่าช้าประจำเมือง 

เย็นวันนั้นราชกุมารเสด็จมาที่หอของนาง เมื่อได้ทราบข่าวว่านางตายแล้ว และศพถูกเผาอยู่ จึงรีบเสด็จไปที่ป่าช้า เห็นกองไฟที่เผานางยังลุกโชน 

ทรงคิดว่า "เราก็เป็นชายชาติกษัตริย์ตรัสแล้วไม่ควรคืนคำ เราเคยให้สัญญากับนางไว้อย่างไรเราก็ควรทำตามนั้น จะมาเสียสัจจะเพราะกลัวตาย หาควรแก่เราไม่" 

ทรงดำริแล้วก็ตัดสินพระทัย กระโดดเข้ากองไฟ ไฟก็ลุกโชนขึ้นมาอีกและมอดไหม้ไปพร้อมกับนาง 

รุ่งเช้านันทเสนไปที่หอของนาง ได้ทราบข่าวว่านางตายแล้ว และศพถูกเผาเมื่อวาน จึงรีบไปที่ป่าช้า เห็นกองฟอนยังมีควันกรุ่นอยู่ ยังไม่ดับสนิท 

ก็ได้แต่เศร้าโศกเสียใจ นั่งรำพึงรำพันถึงนาง ด้วยความเสียดาย

ในป่า
รอจนกระทั่งไฟดับ จึงนำน้ำมาราดกองฟอน จนเห็นกระดูกปะปนอยู่กับเถ้าถ่าน เขาเก็บกระดูกส่วนหนึ่งห่อผ้าไว้ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นกระดูกของคนสองคน 

สะพายห่อกระดูกเดินรำพันถึงนางไปเรื่อย เหมือนคนเสียสติ จนกระทั่งเข้าไปในป่าลึกโดยไม่รู้ด้ว ในป่านั้นมีฤาษีท่านหนึ่ง บำเพ็ญตบะมานานจนได้ฌานแก่กล้ำ

เมื่อท่านเห็นนันทเสนเดินใจลอยมา จึงเรียกเข้ามาถาม นันทเสนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฤๅษีฟังแล้วขอร้องว่า..

 "ข้าพเจ้าสะพายกระดูกของนาง มาจนถึงที่นี่ คงจะเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้มาพบสถานที่นี้ ข้าพเจ้าขอฝากกระดูกของนางไว้ที่นี่ นางจะได้อยู่อย่างสงบ" ว่าพลางมอบห่อกระดูกให้ท่านฤๅษี

ฤาษีฟังแล้วก็ให้นึกสงสาร ในความรักของเขา จึงจัดแจงนำกระดูกนั้น เข้าไปในอาศรม แล้วทำพิธีร่ายสัญชีวมนตร์ อันเป็นมนตร์สำหรับชุบชีวิตโดยเฉพาะ  

ไม่นานก็เกิดอัศจรรย์ทันตา มีชายหญิงคู่หนึ่งนอนคู่กันอยู่บนผ้าขาวหน้าฤาษี นันทเสนเห็นเข้าถึงกับตะลึง 

ฤาษีจึงให้ทั้งสองลุกขึ้น แล้วถามไถ่เรื่องราวความเป็นมา ทั้งสองก็เล่าเรื่องความหลังให้ฟังทั้งหมด  ฤาษีจึงถามว่า แล้วจะเอาอย่างไรต่อไป

พระราชกุมารตอบว่า "ข้าพเจ้าจะพานางกลับเมือง แล้วอภิเษกให้เป็นมเหสี"

"เเม้ข้าพเจ้าก็จะยินยอม เป็นภรรยาของพระราชกุมาร ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่" เสตกุมารีตอบ

ฝ่ายนันทเสนได้ฟังแล้ว ก็เกิดความน้อยใจ จึงตัดพ้อนางว่า.. "เธอไม่เห็นใจในความรัก ความหวังดีของฉันเลย ฉันอุตส่าห์นำกระดูกของเธอมาถึงที่นี่ ได้พบท่านฤาษี 

และเมื่อเธอได้ชีวิตคืนมาแล้ว เธอก็ควรจะเป็นสมบัติของฉันคนเดียว เพราะถ้าฉันไม่นำเธอมาถึงที่นี่ เธอก็คงจะไม่ได้ฟื้นคืนชีพเช่นนี้ เสียแรงที่พาเธอมาแท้ๆ"

เสตกุมารีได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า "ท่านนำข้าพเจ้ามาถึงที่นี่ ทำให้ข้าพเจ้ากับพระราชกุมาร ได้คืนชีพเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงอยู่ 

แต่ที่ฉันเลือกจะอยู่กับพระราชกุมาร เพราะพระราชกุมาร เป็บผู้ที่รักษาสัจจะ มีความสัตย์ ทั้งที่เมื่อฉันตายไป พระองค์ไม่ต้องทำอะไร ก็ไม่มีใครว่า 

ที่พระองค์ยอมสละชีวิต ตายตามข้าพเจ้าเสียอีก คนทั่วไปอาจมองว่าเป็นคนโง่ ที่ยอมตายตามหญิงหากินเช่นข้าพเจ้า การที่พระองค์ทำเช่นนี้ได้ แสดงว่าพระองค์รักข้าพเจ้าจริง 

ส่วนท่านให้สัจจะข้าพเจ้าไว้เช่นกัน แต่หาความสัตย์มิได้ เพราะไม่ทำตามสัญญา แสดงว่าท่านไม่รัก และไม่เป็นลูกผู้ชายจริง จึงยอมเสียสัจจะง่ายๆ 

เกิดเป็นชายต้องยอมตายได้ เพื่อรักษาสัจจะ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่เลือกท่าน" 

นันทเสนฟังแล้วก็เกิดละอายใจ รีบกราบลาท่านฤาษีแล้วออกจากที่นั่นไปทันที พลางบ่นพึมพำไปตลอดทางว่า.. 

"อพิโธ่! เรา เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็มิได้รองนั่ง มิหนำซ้ำเอากระดูกมาแขวนคอ ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลยหนอเรา"

เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า..

การรักษาคำสัตย์เป็นเรื่องที่สำคัญ จึงมีภาษิตเตือนใจไว้ว่า "เสียชีพ อย่าเสียสัตย์" เพราะคนเราเพียงคำพูดยังรักษาไว้ไม่ได้ จะไปทำความดีอะไรจริงๆ จังๆ ได้ 

คนไม่รักษาคำสัตย์จะเป็นที่ไว้วางใจ จะเป็นคนน่านับถือได้อย่างไร ใครขืนเชื่อ และไว้วางใจคนไม่มีสัตย์ ก็มีแต่จะเสียใจ เสียตัว เสียทรัพย์ หรือไม่ก็เสียคนเท่านั้น

บัณฑิตชนยกย่องคนรักษาคำสัตย์ ว่าเป็นคนดี และตำหนิคนไม่มีสัตย์ ว่าเป็นคนหมดดี คบไม่ได้ 

คนเรานั้นแม้ว่าจะยากจน มีศักดิ์ต่ำต้อย หรือจะมีรูปร่างขี้เหร่อย่างไร ขอให้เป็นคนมีสัจจะ รักษาคำสัตย์ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้นได้จริง ก็เกินพอที่จะทำให้คนเขานับถือ ไว้วางใจได้แล้ว

เสียอะไรก็ยอมเสียไปเถิด แต่อย่ายอมเสียสัตย์ เพราะคนไม่มีสัตย์ มีแต่จะถูกดูหมิ่นถิ่นแคลน คนดีก็จะหนีหน้าไป.


พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัณฑิต) 

กิร ดังได้สดับมา หน้า  054 - 058

ภาพจาก pixabay.com, เพจการบ้าน

ความคิดเห็น