วันเพ็ญ เดือนสิบสอง

วันลอยกระทงจะเป็นวันสิ้นสุดของฤดูฝน สมัยก่อนท้องฟ้าจะกระจ่างใสมาก ปราศจากหมู่เมฆ สว่างด้วยแสงจันทร์วันเพ็ญ น้ำจะนองเต็มตลิ่ง สวยงามมาก น้ำเพียงดินคือ ดินกับน้ำจะเสมอกันเลย

คืนนั้นเราจะได้เห็นพระจันทร์ที่กระจ่าง ๒ ดวง ดวงหนึ่งอยู่บนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆฝน ในท้องน้ำกระจ่างด้วยพระจันทร์อีกดวงหนึ่ง

หลวงพ่อว่า การลอยกระทงจะต้องทำให้จิตเราเป็นกุศลคือ จะต้องเอาใจไปผูกไว้กับพระรัตนตรัย กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

เหมือนเรามีตะปูสักตัวเราตอกบนเรือรบ มันก็เป็นเรือรบ เอาอิฐสักก้อนมาก่อพระเจดีย์ เราก็ยังได้ชื่อว่า สร้างพระเจดีย์ เช่นเดียวกัน เราลอยกระทง เราก็เอาใจเราผูกไว้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ชื่อว่าเราบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญใหญ่ก็เกิดขึ้น

เพลงลอยกระทง มีท่อนหนึ่งที่หลวงพ่อชอบ "บุญจะส่งให้เราสุขใจ" ได้ฟังทุกปีตอนลอยกระทงกับคุณยายอาจารย์ เสียงมันลอยมา แต่ชอบประโยคเดียว 

นี่แสดงว่า.. ปู่ย่าตายายของเราท่านยังผูกเอาไว้กับบุญกุศลนะ แต่ลอยกระทงเดี๋ยวนี้ เขาผูกไว้อย่างนี้ 

เนื่องจากน้ำในแม่น้ำไม่สะอาด เพราะฉะนั้นลอยกระทงจะได้ถือโอกาสขอขมาแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำต่าง ๆ ที่ทำให้ท่านสกนสกปรกกลายเป็นการขอขมากันไป คือผูกห่างจากพระรัตนตรัยออกมา

ซึ่งหลวงพ่อว่า เราควรถอยหลังลงคลองธรรมกันเถิด จะได้ถูกทำนองคลองธรรม เรามาผูกใจไว้กับพระรัตนตรัยดีกว่า ลอยกระทงบูชาพระรัตนตรัย จิตใจจะเป็นบุญกุศลบุญใหญ่จะได้เกิดขึ้น และถือโอกาสลอยบาปออกจากใจไปด้วย บาปมีเท่าไรส่งคืนไปหมดเลย ให้เหลือแต่บุญใส ๆเท่านั้น

วันนี้ทำจิตใจให้ผ่องไส สว่างไสว เหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ บนท้องฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์ ในท้องเราก็ต้องสว่างด้วยแสงธรรม ต้องสว่างทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืนอย่างนี้ถึงจะถูกหลักวิชชา


โอวาทจากหลวงพ่อธัมมชโย

๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕ / 

๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐

ความคิดเห็น