ในครั้งพุทธกาล มีพระเถรรูปหนึ่ง เป็นผู้คงแก่เรียน เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก ได้เป็นครูสอนภิกษุ ๕๐๐ รูป และเป็นนักเทศน์ฝีปากเอก มีชื่อเสียง มีผู้คนเคารพนับถือมาก
แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจ ที่จะฝึกปฏิบัติจิตของตนเลย พระพุทธเจ้าทรงปรารถนา ให้พระรูปนั้นได้รู้สึกตัว หันกลับมาฝึกตนบ้าง
เมื่อท่านเข้าไปเฝ้าก็มักจะถูกเรียกเสมอว่า“ตุจฉโปฐิละ” ซึ่งแปลว่า ใบลานเปล่า เช่นทรงรับสั่งว่า “มานี่ ตุจฉโปฐิละ นั่งสิ ตุจฉโปฐิละ ไปเถิด ตุจฉโปฐิละ”
หรือตรัสว่า “ตุจฉโปฐิละมาแล้ว ตุจฉโปฐิละไปแล้ว” เป็นต้น ภิกษุทั้งหลายทราบเรื่องนั้น จึงพลอยเรียกท่านไปด้วยว่า “พระตุจฉโปฐิละ”
ท่านรู้สึกตะขิตตะขวงใจกับคำเรียกนั้น คิดว่า พระพุทธเจ้าคงจะทรงเห็นว่า เรามีแต่ความรู้ที่จะสอนคนอื่น แต่คุณธรรมภายในของเรา ยังไม่มีจึงตรัสเรียกเราอย่างนี้
เพื่อให้เราได้ฝึกฝนตนเองเหมือนอย่างที่สอนผู้อื่น เกิดความสลดใจขึ้นมา จึงเข้าป่าไปเพื่อปฏิบัติธรรม ได้เข้าไปยังวัดป่าแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีภิกษุและสามเณร อาศัยอยู่ประมาณ ๓๐ รูป ทั้งหมดล้วนปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์กันแล้วทั้งสิ้น
ท่านเข้าไปหาพระสังฆเถระ ซึ่งอาวุโสสูงสุดในที่นั้น แล้วฝากตัวเป็นศิษย์ ให้ช่วยสั่งสอนแนะนำ แต่พระสังฆเถระ ไม่ยอมรับเป็นศิษย์
ด้วยรู้จักท่านดีว่า เป็นครูบาอาจารย์ และยังมีมานะ คือความถือตัวอยู่
จึงต้องการกำราบมานะของท่าน ให้หมดเสียก่อน จึงไม่รับเป็นอาจารย์
“ผมเป็นอาจารย์สอนท่านไม่ได้ดอก ท่านเป็นพระธรรมกถึก รู้ธรรมมาก พวกผมได้เรียนรู้ธรรมจากท่าน จะเป็นอาจารย์ท่านได้อย่างไร”
เมื่อพระสังฆเถระปฏิเสธ พระโปฐิละจึงเข้าไปหาพระเถระรูปอื่น เรียงอาวุโสลงมาตามลำดับ ทุกรูปปฏิเสธ ด้วยให้เหตุผลเดียวกันหมด
จนกระทั่งมาถึงลำดับสุดท้ายซึ่งเป็นสามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบ พระโปฐิละจึงเข้าไปประนมมือหน้าสามเณรแล้วอ้อนวอนว่า “พ่อสัตบุรุษ ช่วยเป็นที่พึ่งให้ผมด้วยเถิด”
“โอ อาจารย์ ท่านพูดอะไร ท่านเป็นพระผู้เฒ่า เป็นพหูสูต กระผมต่างหากที่ต้องเรียนรู้จากท่าน” สามเณรพูดถ่อมตนเหมือนพระเถระทั้งหลาย
“อย่าได้พูดอย่างนั้นเลย พ่อสามเณร ผมขอทำตามคำสอนของพ่อสามเณรทุกอย่าง โปรดบอกมาเถิด” พระเถระอ้อนวอน
สามเณรต้องการจะทดสอบว่า ท่านอดทนต่อคำสอน ได้จริงหรือไม่ จึงสั่งว่า “เมื่อต้องการจะเรียนรู้จากกระผม ก็ขอให้อาจารย์ ลงไปในสระนั่น ทั้งเครื่องนุ่งห่มอย่างนี้แหละ”
พระเถระจึงลุกขึ้น แล้วเดินไปที่สระ หย่อนเท้าลงไปในสระ กะว่าจะลงไปตามคำสั่ง แต่พอชายจีวรจะเปียกน้ำเท่านั้น สามเณรก็สั่งให้ท่านหยุดแล้วให้กลับมา
![]() |
PxHere |
พระเถระก็ว่าง่าย ย้อนกลับมานั่งหน้าสามเณร สามเณรเห็นว่าพระเถระหมดพิษสง หมดมานะถือตัวแล้ว จึงเริ่มแนะนำการฝึกจิตให้ท่านฟัง
“ท่านครับ ที่หัวปลวกแห่งหนึ่งมีช่องอยู่ ๖ ช่อง เหี้ยตัวหนึ่ง
เข้าไปในหัวปลวกทางช่องหนึ่ง คนที่ต้องการจะจับเหี้ยนั้นจะต้องอุด
ช่องเสีย ๕ ช่องแล้วดักจับมันตรงช่องที่มิได้อุด
ฉันใดก็ฉันนั้น ขอให้ท่านปิดประตู ๕ ประตูซึ่งเป็นที่เข้ามาของอารมณ์ต่าง ๆ คือประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น และประตูกายให้สนิท แล้วบำเพ็ญเพียรทางประตูใจอย่างเดียวเถิด”
เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ พระเถระได้ร่ำเรียนมาแล้ว และได้สอนคนอื่นมาแล้วด้วย แต่ไม่เคยปฏิบัติเช่นนั้นเลย จึงสามารถเข้าใจ อย่างแจ่มแจ้งได้ทันที
เมื่อรู้ทางดีแล้วก็เริ่มทำความเพียร โดยกำหนดอารมณ์ทางใจอย่างเดียว ในไม่ช้าก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า การรู้วิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม จนสามารถยกย่องได้ว่าเชี่ยวชาญ หรือเป็นครูอาจารย์ของคนหมู่มาก
หากไม่เคยได้ฝึกฝนจิต หรือควบคุมจิตไม่ได้ ก็เรียกได้แต่ เพียงว่า “พระใบลานเปล่า” หรือ “คนตำราเปล่า” เท่านั้น
ไม่อาจจะเอาตัวรอด คือทำให้มีความสุข ความสงบใจแท้จริงได้ย่อมวนเวียน คิดอยู่ในวังวน แห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงความอิจฉาริษยา ความชิงดีชิงเด่น ความยึดมั่นถือมั่นความถือตัวถือตน ความต้องการเอาชนะคะคาน เป็นต้น
ทำให้เกิดความเครียด ความทุกข์ใจ ความวิตกกังวล ความผิดหวัง ความดิ้นรนแสวงหาร่ำไป และที่สำคัญคือ ย่อมมีทิฐิมานะสูงไม่ยอมฟังใคร
ไม่ยอมให้ใครเตือนใครสอน กลายเป็นคนที่ใคร ๆ ไม่อยากเตือนไม่อยากแนะนำ ทำให้หลงผิดคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเด่นกว่าคนอื่นมากขึ้น
ในที่สุดก็ได้แต่กอดใบลาน หรือตำราไว้เท่านั้น แต่ไม่เคยได้ลิ้มรสอันเป็นสาระสำคัญที่แฝงอยู่ในนั้นเลย
แต่หากได้สติ เกิดความรู้สึกว่าลำพังความรู้ ตามตำราตามคัมภีร์ ไม่อาจเอาตัวรอดได้จริง มุ่งมั่นหันมาปฏิบัติจิต ตามตำรา ตามคัมภีร์ ก็จะสามารถเอาตัวรอด โดยพบทางแห่งสันติสุข ในชีวิตอย่างแท้จริงได้.
จากหนังสือ กิร ดังได้สดับมา
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต)
ภาพจาก pxhere.com
รู้อะไรไม่สู้รู้จิตของตน
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญกับธรรมะที่นำมาอธิบาย
ตอบลบ